xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [23 พฤศจิกายน 2561]

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดงานอุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์ ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2561 ถึง วันที่ 19 มกราคม 2562 ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า และได้พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดกิจกรรมปั่นจักรยาน Bike อุ่นไอรัก ในโอกาสพิธีเปิดงานอุ่นไอรักฯ วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญในการรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี ในครอบครัวและสังคม

ในการนี้จะทรงจักรยานในเส้นทางประวัติศาสตร์ ผ่านสายน้ำคูคลองสำคัญต่างๆ อาทิ คลองมหานาค คลองผดุงกรุงเกษม คลองหลักของกรุงรัตนโกสินทร์ ไปยังคลองลัดโพธิ์ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านการบริหารจัดการน้ำของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รวมระยะทางไป-กลับ 39 กิโลเมตร ซึ่งกิจกรรมปั่นจักรยานนี้จะดำเนินการอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ และระบบออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์บนหน้าจอ ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้นกว่า 2 แสนคน จากทั่วประเทศ

นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเสื้อที่ทรงออกแบบด้วยพระองค์เอง แก่ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมปั่นจักรยานในกิจกรรม Bike อุ่นไอรักในครั้งนี้ด้วย โดยเป็นเสื้อพระราชทานสีเหลืองคาดด้วยสีฟ้า ด้านหลังมีภาพวาดการ์ตูนฝีพระหัตถ์ พร้อมทั้งพระปรมาภิไธย ซึ่งในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดจะเข้ารับพระราชทานเสื้อ เพื่อเชิญไปมอบแก่ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมทุกคน ในวันที่ 1 และ 2 ธันวาคมนี้ ณ ศาลากลางจังหวัด ทุกจังหวัด ส่วนในกรุงเทพฯ รับที่สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งชาติ

พี่น้องประชาชน ผมยังมีเรื่องติดค้างจากภารกิจ ณ ต่างประเทศ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกครั้งที่ 26 ที่รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยหัวข้อหลักในการประชุม ได้แก่ การสร้างโอกาสอย่างครอบคลุมเพื่อเปิดรับอนาคตทางดิจิทัล ที่เน้นหารือในประเด็นสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่

1. การพัฒนาความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
2. การส่งเสริมการเจริญเติบโตให้ทั่วถึงและยั่งยืน และ
3. การเสริมสร้างการเจริญเติบโตอย่างทั่วถึง ผ่านการปฏิรูปโครงสร้าง

ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุมร่วมกับตัวแทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปกนั้น ผมได้เล่าให้ที่ประชุมฟังถึงความก้าวหน้าของไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ด้วยการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่เราเรียกว่าเน็ตประชารัฐให้กับประชาชนทั่วประเทศ แม้ในพื้นที่ห่างไกล การปรับปรุงกฎระเบียบให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัล และการร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพให้กับแรงงานและผู้มีรายได้น้อยเพื่อเพิ่มรายได้

นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งแพลตฟอร์มส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อม ขนาดเล็ก และขนาดกลาง หรือที่เรียนกว่า Micro SMEs ให้สามารถค้าขายออนไลน์และอี-คอมเมิร์ซได้ เพื่อเปิดกว้างสู่ตลาดโลก อีกทั้งมีความร่วมมือกับบริษัทใหญ่ อย่างอาลีบาบา เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ Micro SMEs ของเราด้วย ก็จะทำให้ไทยมีความพร้อมในการเชื่อมโยง ทั้งด้านการค้าและการลงทุนกับธุรกิจในภูมิภาค

ในการประชุมกับผู้นำเอเปกนั้นผมได้ชักชวนให้เอเปกมองไปข้างหน้าและกระชับความร่วมมือในเรื่องของการพัฒนาทักษะและการศึกษา เพื่อรองรับการการเข้าสู่ยุคดิจิทัล การเสริมสร้างศักยภาพและบุคลากรด้าน Cyber Security การสนับสนุนการค้าแบบพหุภาคีและการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างกัน ที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร เกษตรกรรม และประมง ที่ยั่งยืน ซึ่งผมได้ขอให้เน้นส่งเสริมการเปิดเสรีการค้า ควบคู่ไปกับการสนับสนุน ให้เกิดการเจริญเติบโต อย่างครอบคลุม โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งส่งเสริมธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตของคนรุ่นหลังด้วย

จากการประชุมครั้งนี้ เราได้เห็นถึงประเด็นปัญหาด้านการค้าระหว่างประเทศใหญ่ๆ ที่ยังมีความเห็นอาจจะไม่ตรงกันอยู่บ้าง ซึ่งก็เป็นประเด็นที่เราได้ยิน ได้ฟัง มาระยะหนึ่งแล้ว รัฐบาลได้ตระหนักและเตรียมมาตรการรองรับล่วงหน้าสำหรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น สำหรับท่าทีของไทยนั้น ยังคงสนับสนุนความร่วมมือกับมิตรประเทศในการส่งเสริมการค้าแบบพหุภาคี ที่เปิดกว้าง เสรี ทั่วถึง และยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง และพี่น้องประชาชน ในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ประเทศในภูมิภาคนี้ก็ยังสามารถร่วมมือกันยกระดับความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างกัน เพื่อการสร้างศักยภาพในด้านอื่นๆ ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น การส่งเสริมให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทั่วถึง และยั่งยืนด้วย และเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้ ในการเตรียมคนไทย เยาวชนไทยไปสู่อนาคต เพื่อจะรองรับการเปลี่ยนแปลงดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้น ในที่ประชุมต่างๆ นั้น เราได้มีการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย มาอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงสุดสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่ 23-25 พฤศจิกายน ก็จะมีการจัดงานขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ณ พื้นที่ สยามสแควร์ เพื่อแสดงให้เห็นทิศทางในการขับเคลื่อนประเทศในยุคดิจิทัลของรัฐบาลนี้ เพื่อจะนำไปสู่การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การขยายผลและการต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งการยกระดับ SMEs และ Startup ผ่านกลไกประชารัฐ เป็นต้น ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจ ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนไทยในศตวรรษที่ 21 ได้มาร่วมในงานตามวันและเวลาดังกล่าวด้วย

พี่น้องประชาชนที่เคารพ ภายใต้สภาวะสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว เศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง การส่งออก 9 เดือนแรก ยังขยายตัว 8.1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวชาวจีน แม้จะลดลงแต่ไทยก็ยังครองความเป็นที่หมายอันดับ 1 ของชาวจีน อยู่ในปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่รัฐบาลให้ความสนใจอยู่เสมอ คือการกระจายรายได้ลงไปสู่พี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มฐานราก และพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรัฐบาลก็ได้ดำเนินการในหลายๆ เรื่อง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนกลุ่มนี้ ทั้งการเพิ่มรายได้ การปรับปรุงและขยายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน และอินเทอร์เน็ต การเสริมทักษะและฝึกอาชีพ รวมทั้งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ หรือความเดือดร้อนจากการขายฝากที่ไม่เป็นธรรม เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ลำบากจนเกินไป

อีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่่รัฐบาลนี้ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง คือการช่วยเหลือพี่น้องผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาทิ การบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้านต่างๆ การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ก๊าซหุงต้ม ค่าเดินทาง เงินเพิ่มสำหรับผู้ต้องการพัฒนาอาชีพ และผู้สูงอายุ รวมถึงการตรึงภาษีมูลค่าเพิ่ม เข้าไปในกระเป๋าเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี จากการสำรวจและสอบถามถึงปัญหา และความต้องการได้รับความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งการวิเคราะห์จากฐานข้อมูลที่มีในปัจจุบัน ทราบว่าการดำเนินการที่ผ่านมานั้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด เราจำเป็นต้องมีมาตรการที่เจาะจงเฉพาะกลุ่มลงไป เพื่อจะได้รับประโยชน์สูงสุด ผมคิดว่าการอยู่ร่วมกันในสังคม เราจำเป็นต้องเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข โดยเฉพาะความทุกข์ที่เป็นผลมาจากการขาดโอกาสในอดีต หรือเลือกเกิดไม่ได้ ซึ่งเขาเหล่านั้นต้องการโอกาสในการตั้งตัว หรือการผ่อนปรนภาระบางส่วน ซึ่งรัฐบาลพยายามจะปรับมาตรการให้ตรงจุด ตรงความเดือดร้อนของแต่ละกลุ่ม โดยล่าสุดได้มีมาตรการเพิ่มเติมอีก 4 มาตรการคือ

1.มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นความช่วยเหลือเพิ่มเติม จากการที่ผู้มีรายได้น้อยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดกัน 3 เดือน ซึ่งจะมีสิทธิค่าไฟฟ้าฟรีอยู่แล้ว ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วย แต่ไม่เกิน 230 บาทต่อเดือน และน้ำประปาไม่เกิน 100 บาทต่อเดือน ซึ่ง 1 ครัวเรือนใช้ได้เพียง 1 สิทธิเท่านั้น โดยให้ไปชำระค่าน้ำค่าไฟตามปกติ พร้อมกับยื่นบัตรสวัสดิการ จากนั้นภาครัฐจะโอนเงินคืนไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ให้สามารถถอนเงินสดออกมาได้ในเดือนถัดไป มาตรการชั่วคราวนี้จะเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 คิดเป็นระยะเวลา10 เดือนเท่านั้น

2. การสนับสนุนค่าใช้จ่ายช่วงปลายปี คนละ 500 บาท ในเดือนธันวาคม เพียงเดือนเดียว ซึ่งจะมีการโอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เช่นกัน เพื่อจะรองรับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นปี สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว แต่มักจะมีรายจ่ายเพิ่มเป็นค่าเดินทางกลับภูมิลำเนา กลับไปหาครอบครัว หรือซื้อของฝาก

3. ค่าเดินทางไปรักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพคนละ 1,000 บาท สำหรับผู้ที่มีบัตรสวัสดิการที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป โดยจะได้รับครั้งเดียว ในเดือนธันวาคมนี้ และจะสามารถใช้วงเงินนี้จนถึงเดือนกันยายนปีหน้า และ

4.ค่าเช่าบ้านคนละ 400 บาทต่อเดือน สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะได้รับเงินในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีนี้ ถึงเดือนกันยายนปีหน้า

ด้วยการเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์จากทั้ง 4 มาตรการนี้ ผู้มีรายได้น้อยจะสามารถถอนไปใช้จ่ายได้เหมือนบัตรเอทีเอ็ม โดยงบประมาณที่ใช้เป็นเงินจากกองทุน เพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อยได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เนื่องจากประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ปัจจุบันยังมีผู้สูงอายุต้องเผชิญกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย เนื่องจากค่าครองชีพสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่ายา และค่าเดินทาง ซึ่งข้าราชการเกษียณจำนวนไม่น้อย หากได้รับการปรับอัตรา และวิธีการจ่ายบำเหน็จบำนาญใหม่ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ อย่างเหมาะสม จะช่วยให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น โดยอยู่ระหว่างการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2 เรื่อง ได้แก่

1. การปรับเพิ่มเบี้ยหวัดบำนาญ ซึ่งปัจจุบันยังต่ำกว่าเดือนละ 10,000 บาท ให้ได้รับเต็มจำนวน 10,000 บาทต่อเดือน และ

2. การขยายเพดานของวงเงินบำเหน็จดำรงชีพให้แก่ผู้รับบำนาญ ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 70 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพิ่มอีก 100,000 บาท จากเดิมเพดาน ไม่เกิน 400,000 บาท ปรับใหม่เป็น 500,000 บาท อันนี้ก็เป็นวงเงินของท่านอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ยังพอมีกลุ่มประชาชนที่พอมีรายได้แต่ไม่มากนัก ทำให้ไม่สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ รัฐบาลต้องสร้างความมั่นคงให้แก่พี่น้องประชาชนในกลุ่มนี้ จึงได้ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์จัดทำโครงการบ้านล้านหลังขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีบ้านเป็นของตนเอง ในระดับราคาที่ไม่สูงมาก และเหมาะสมกับศักยภาพการหารายได้ของประชาชนในแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ลงไปทำงาน หรือประชาชนที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ โดยจะมีการสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยในเงื่อนไขผ่อนปรน สำหรับลูกค้ารายย่อย เพื่อจัดซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัยวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท มีระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี เป็นต้น ซึ่งโครงการนี้จะมีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้ังแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบโครงการ คือวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไปจนถึง 30 ธันวาคมปีหน้า

ทั้งนี้ รายละเอียดสวัสดิการต่างๆ ผมอยากให้พี่น้องประชาชนได้ติดตาม สอบถาม ตรวจสอบข้อมูลตามช่องทางต่างๆ ของภาครัฐด้วย เพื่อจะขอรับสวัสดิการ หรือสิทธิที่พึงมีพึงได้ของท่าน จะได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เนื่องจากเป็นโอกาสที่รัฐบาลพยายามหยิบยื่นให้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ผมเข้าใจดีถึงความรู้สึกพี่น้องประชาชน ผู้มีรายได้น้อย และปานกลางเป็นอย่างดี และรัฐบาลนี้มีเจตนาที่ชัดเจนว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้จะเป็นความสุขเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม คนที่มีรายได้น้อยเราต้องดูแล อันนี้เป็นเรื่องของความเป็นธรรม

พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ สำหรับความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง ผมอยากให้ทุกคนได้เข้าใจสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับตลาดยางพาราเสียก่อน มิเช่นนั้นคงไม่อาจเข้าใจว่า เราจะทำอะไรเพื่ออะไร และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และระยะยาวควรจะเป็นอย่างไรถึงจะเหมาะสม ที่สำคัญคือเราต้องร่วมมือกันในการแก้ปัญหาด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ที่ได้มีการสนับสนุนให้ปลูกยางพาราในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ นับล้านไร่ โดยไม่ได้มีการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดจึงส่งผลให้ประเทศไทยเป็นทั้งผู้ผลิต และผู้ส่งออกยางพารามากที่สุดในโลก แต่ในปัจจุบันราคายางพาราในประเทศ หรือในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกษตรกรชาวสวนยางส่วนใหญ่ประสบความเดือดร้อน มีรายได้ไม่เพียงพอรัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาช่วยเหลือเช่นเดียวกับพืชเศรษฐกิจอื่นๆ โดยได้ทำการศึกษาข้อมูลพื้นฐานของปัญหา ที่มาของภาวะวิกฤตราคายางพารา และแนวทางแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ จากข้อมูลและข้อเท็จจริงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งรวบรวมข้อมูลจากองค์การศึกษาเรื่องยางระหว่างประเทศ หน่วยงานของรัฐ และสถาบันการศึกษาต่างๆ จนค้นพบข้อเท็จจริงที่สำคัญ สรุปได้ดังนี้

1.ประเทศไทยมีพื้นที่กรีดยางมากที่สุดในกลุ่มประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย จีน เวียดนาม อินเดีย และไทย โดยในปี 2560 ประเทศไทยมีพื้นที่กรีดยางมากกว่า 20 ล้านไร่ ทำให้ประเทศไทยมีผลผลิตยางมากที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับการผลิตยางธรรมชาติของทั้ง 6 ประเทศรายใหญ่ของโลก คือประมาณ 4.5 ล้านตัน

2. ต้นทุนการผลิตยางแผ่นดิบของประเทศไทย ปี 50-59 มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นเป็นระยะๆ ประมาณร้อยละ 7 โดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด

3. ในขณะที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาขายยางพารากลับลดลง โดยในปี 50-59 มีต้นทุนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 6.94 แต่ราคาขายเฉลี่ยติดลบร้อยละ 3.76

4. ปัจจุบันราคายางพาราอยู่ในภาวะขาลง โดยช่วงปี 51-60 ราคายางแท่งหดตัวลงเฉลี่ยร้อยละ 4.12 และราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 หดตัวลงเฉลี่ยร้อยละ 2.86 และ

5. สถานการณ์ราคายางพาราเมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตทั้งประเทศในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ปริมาณผลผลิตยางเฉลี่ยในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็นระยะๆ โดยช่วง 4 ปีท้ายนี้มีปริมาณผลผลิตยางมากที่สุดราว 4.5 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าทุกๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ในขณะที่ราคายางพาราในตลาดโลกกลับลดลงเรื่อยๆ สวนทางกับปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ยิ่งกว่านั้น ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกช่วงปี 2557-2561 ก็มีราคาลดต่ำลง ทำให้มีการใช้ยางสังเคราะห์จากน้ำมันแทนการใช้ยางพาราเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน และประเทศคู่ค้าอื่นๆ ของสหรัฐเมริกา ส่งผลให้การส่งออกยางพาราจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน หรือประเทศคู่ค้ารายสำคัญลดลง ทำให้ราคายางพาราในประเทศไทยลดลงตามไปด้วย

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าการแก้ไขปัญหาราคายางพาราในประเทศไทยให้ยั่งยืน และไม่มีผลกระทบต่อระบบการคลังของประเทศ ก็คือการลดการพึ่งพาการส่งออก เพราะราคายางพาราในต่างประเทศอยู่ในภาวะราคาลดลงทุกตลาด และราคายางพาราซื้อขายในประเทศก็ยังอิงกับราคาซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในต่างประเทศด้วย ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้น พร้อมกับการปรับสมดุล ลดปริมาณยางพาราลงไปด้วย ซึ่งก็จะทำให้ราคายางพาราในประเทศมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้น รัฐบาลก็จะมีข้อเสนอในการแก้ไขปัญหายางพาราต่อคณะกรรมการยางพารา และคณะกรรมการนโยบายยางพาราธรรมชาติ ในระยะเร่งด่วน เพื่อจะทุเลาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางพารา ดังนี้

1. การจัดทำโครงการเร่งด่วนพัฒนาอาชีพ เพื่อจะสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยาง และเป็นรายครอบครัว เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นระหว่างราคายางพาราตกต่ำ

2. การลดปริมาณการผลิตยางพารา โดยส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนต้นยางพาราที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป หรืออายุ 15 ปี ที่มีต้นโทรม ให้น้ำยางน้อย ไม่คุ้มค่า ไปปลูกพืชชนิดอื่นๆ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการปลูกพืชอื่นๆ แซมในสวนยาง โดยอาจจะพิจารณาให้แรงจูงใจกับเกษตรกรมากกว่าในปัจจุบัน เพื่อจะเร่งการตัดสินใจลดปริมาณการผลิตยาง โดยจะต้องทำควบคู่ไปกับการให้แรงจูงใจกับผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ไม้ยางพาราในประเทศเป็นวัตถุดิบ หรือลดภาษีสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ไม้ยางพาราในประเทศเป็นวัตถุดิบ เพื่อจะเพิ่มอุปสงค์ไม้ยางพาราให้สอดรับกับอุปทานที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น

3. เชิญชวนและเปิดรับสมัครเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการฝากน้ำยางไว้กับต้นยางช่วงราคาตกต่ำ หรืออาจจะช่วยกันหยุดกรีดยางเป็นเวลา 1-2 เดือน อาจจะทำให้ยางพาราลดลงจากตลาดไปในทันทีจำนวนถึง 5 แสนตันต่อเดือน ทั้งนี้ เพื่อจะเป็นการกระตุ้นราคายางพาราในตลาด เพราะการซื้อขายยางนั้นใช้รูปแบบเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่มีการซื้อขายแบบส่งมอบสินค้า และซื้อขายล่วงหน้า มีสัญญาส่งมอบสินค้า เมื่อครบอายุสัญญา ซึ่งวิธีการหยุดกรีดยางนี้ หากสามารถควบคุมการหยุดกรีดได้จริง ก็จะมีผลต่อราคายางพาราให้สูงขึ้นมาก หากมีเกษตรกรชาวสวนยางทั้งประเทศเห็นด้วย ร่วมมือกับมาตรการดังกล่าว และสมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่าร้อยละ 80 ของเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ ก็จะได้ให้ กยท.ไปจัดทำโครงการ อันนี้ไม่ใช่การบังคับ เชิญชวน เป็นความสมัครใจของท่าน ถ้าถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เราก็จะไปจัดทำโครงการเหล่านี้ ในการที่จะส่งเสริมอาชีพชาวสวนยางระหว่างโครงการ เพื่อให้มีรายได้มาชดเชยช่วงหยุดกรีดยางต่อไป

4. ขอความร่วมมือบริษัทหรือภาคเอกชนที่มีธุรกิจแปรรูป หรือโรงงานอุตสาหกรรมผลิตล้อยางส่งขายให้ต่างประเทศและภายในประเทศ เพื่อจะขอให้เข้าร่วมรณรงค์ เชิญชวนให้ประชาชนเปลี่ยนยางล้อรถยนต์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางถนน ในราคาถูก โดยให้ประชาชนได้สิทธินำใบเสร็จซื้อยางล้อรถยนต์ไปลดภาษีเงินได้บุคคลหรือนิติบุคคลประจำปี

ในขณะที่บริษัทเอกชนหรือโรงงานที่เข้าร่วมโครงการผลิตยางรถยนต์ราคาถูก ก็จะได้สิทธิพิเศษทางภาษีเช่นกัน โดยมีเงื่อนไข ใช้หลักฐานว่าได้ซื้อยางพาราจากกลุ่มเกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกร ที่มี กยท.รับรองโดยตรงด้วย รวมทั้งให้เชิญชวนบริษัทเอกชน ทั้งของไทยและต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุนผลิตหรือรับแปรรูปยางส่งไปขายต่างประเทศ ให้มีสิทธิพิเศษทางการลงทุน การที่หน่วยงานรัฐ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะได้กำหนดต่อไป

5. ส่งเสริมและเร่งรัดการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยส่งเสริมการใช้ยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางพาราในทุกรูปแบบ โดยเริ่มจากหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐก่อน แล้วขยายไปสู่ตลาด หรืออุตสาหกรรมต่างๆ

ทั้งนี้ แนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น เป็นการดำเนินการในระยะเร่งด่วน เพื่อจะบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรเท่านั้น รัฐบาลยังคงกำหนดมาตรการใหม่ๆ ที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับวงการยางพาราของไทย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความเข้าใจในข้อมูลพื้นฐานที่ผมได้กล่าวไปแล้ว มันจะทำให้เกิดความร่วมมือที่เราจะร่วมกันทำ ดำเนินการต่อไปให้เป็นผลตามที่รัฐบาลแนะนำ

เรื่องยางพารามีปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่ใช่มีเฉพาะเจ้าของยางพารา เรามีผู้กรีดยางด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาสัดส่วนในการเร่งช่วยเหลือ ทั้งเจ้าของสวนยาง และผู้รับจ้างกรีดยางด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีการขึ้นทะเบียนไปแล้ว เราจะดูแลในส่วนนี้ได้

สุดท้ายนี้ ผมได้เตรียมของขวัญปีใหม่สำหรับเยาวชน และพี่น้องประชาชนทุกคน ด้วยการสนับสนุนให้รักการอ่านและการเข้าถึงหนังสือคุณภาพของราชการและสถาบันการศึกษา โดยได้สั่งการให้มีการจัดทำสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ วีดิทัศน์ ไฟล์เสียง เป็นต้น เพื่อให้มีความทันสมัย และเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเอกสารความรู้ และหนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานต่างๆ ให้ได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งมีเป้าหมายจะเปิดตัวโครงการ National e-Library ในงานวันเด็กแห่งชาติ ปีหน้า ประกอบไปด้วย e-Library 2 ระบบ ก็คือ ประเภทสื่อการเรียนรู้ และข้อมูลความรู้สำหรับเยาวชนและประชาชนโดยทั่วไป ขอให้ทุกกระทรวง ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ได้จัดทำไฟล์ข้อมูลเพื่อการอัปโหลดเข้าสู่ระบบที่ได้พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการนี้

ทั้งนี้ ก็เพื่อจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก e-Library ของนักเรียนและประชาชนทั่วประเทศ ขอให้ติดตามผลงานที่สร้างสรรค์ เพื่อให้ทุกๆ คนได้เติบโต ก้าวหน้า พัฒนาตนเอง เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของบ้านเมืองในอนาคตด้วย ผมเชื่อว่าศักยภาพของคนทุกคนไร้ขีดจำกัด หากได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้อง เหมาะสม รวมทั้งการสนับสนุนที่ดีและต่อเนื่อง อาทิ โปรเม เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟสาวไทยมือหนึ่งของโลก ได้สร้างประวัติศาสตร์กวาดรางวัลใหญ่ปิดท้ายฤดูกาล LPGA Tour ได้ครบทุกรางวัล และรางวัลใหญ่ประจำปีอีกหลายรางวัล และครูไอซ์ ดำเกิง มุ่งธัญญา หรืออัจฉริยะในโลกมืด ที่แม้จะพิการทางสายตา แต่ก็สามารถจะเอาชนะข้อจำกัดทางร่างกายด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง สามารถจบการศึกษาคณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 1 มาเป็นครูภาษาอังกฤษ สมความตั้งใจ ก็ขอชื่นชม ขอให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนไทยทุกๆ คน อย่าได้ลดละความพยายาม อย่ายอมจำนนต่ออุปสรรค หรืออย่าย่อท้อต่อโชคชะตา

ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนมีจิตใจที่มุ่งมั่น และทุกครอบครัวมีความอบอุ่น สวัสดีครับ