ผู้ช่วยศาสตราจารย์อังคณา สริยาภรณ์ เลขาธิการสภาการพยาบาล กล่าวถึงกรณีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) เตรียมส่งข้อมูลผลการสอบข้อเท็จจริงโรงพยาบาลพระราม 2 ทำการส่งต่อ น.ส.ช่อลัดดา ทาระวัน ผู้ป่วยที่ถูกสามีสาดน้ำกรด จนเป็นเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ซึ่งผลสอบพบว่าพยาบาลผู้ปฏิบัติงานเป็นผู้กระทำเอง ทั้งๆ ผู้ดำเนินการสถานพยาบาลสั่งให้รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ว่า เรื่องนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) ยังไม่ได้ส่งเรื่อง หรือส่งชื่อของพยาบาลคนดังกล่าวมาที่สภาการพยาบาลแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ตั้งแต่ที่นายอัจริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พาญาติผู้เสียชีวิตมาร้องเรียนแล้ว ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการก็มาสอบข้อเท็จจริงต่อไปเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งได้มีการส่งหนังสือไปยังโรงพยาบาลพระราม 2 เพื่อขอทราบรายละเอียดว่าในวันนั้นใครเป็นผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาล และมีกี่คน สถานการณ์เป็นอย่างไร การที่จะกล่าวโทษใคร จำเป็นต้องมีข้อมูลอย่างครบถ้วน เพราะหากมีการลงโทษทางจริยธรรมแล้ว จะมีผลต่อชีวิตของเขาอย่างมาก ดังนั้น หากทำผิดจริงก็ต้องมีการลงโทษทางจริยธรรมแน่นอน ซึ่งการลงโทษมีตั้งแต่เบาไปหาหนัก คือว่ากล่าว ตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต ซึ่งก็จะมีระยะเวลาการพักใช้ โดยตลอดระยะเวลาของการพักใช้ใบอนุญาตบุคคลดังกล่าวจะไม่สามารถประกอบวิชาชีพได้ หรือแรงสุดก็คือเพิกถอนใบอนุญาต
ส่วนกรณีที่ข้อมูลของกรม สบส. ระบุว่าพยาบาลที่ดำเนินการเป็นผู้ยอมรับเองว่าผู้ดำเนินการสถานพยาบาลสั่งให้รับผู้ป่วยไว้นอนโรงพยาบาลแล้ว แต่พยาบาลทำการส่งต่อเองนั้น ผศ.อังคณา กล่าวว่า คงยังบอกอะไรไม่ได้ตอนนี้ เพราะยังไม่เห็นสำนวน ข้อมูลสรุปการสอบสวนจากกรม สบส. ต้องขอไปสอบข้อเท็จจริงก่อน เพราะการลงโทษทางจริยธรรมถือว่าร้ายแรงกว่าการลงโทษตามกฎหมายของบ้านเมือง ดังนั้นต้องทำอย่างรอบคอบ ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย