xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [31 สิงหาคม 2561]

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ผมขอแสดงความยินดีกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทุกแห่ง ที่ได้รับรางวัลการบริหารจัดการที่ดี และที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน ซึ่งได้ดำเนินการประกวดและประเมินกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ไม่น้อยกว่า 20 ปีแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อจะเป็นการจูงใจและส่งเสริม อปท. ต่างๆ ทั่วประเทศให้มีการพัฒนาการบริหารจัดการท้องถิ่นของตนเอง ทั้งการจัดบริการสาธารณะ หรือกิจกรรมสาธารณะ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล จากกุศโลบายดังกล่าว จะก่อให้เกิด อปท. ต้นแบบ และ อปท. ที่มีแนวทางปฏิบัติที่ดี อีกทั้งยังจะสร้างความกระตือรือร้น ในการใช้ความคิด ความรู้ความสามารถ และพัฒนาทีมงานใน อปท. ไปด้วยในตัว เพื่อจะสร้างศักยภาพหรือยกระดับความสามารถของตนในการพัฒนางาน พัฒนาคน และการมีส่วนร่วม ในแต่ละท้องถิ่นให้มากยิ่งขึ้น แม้ว่าผลตอบแทนคือรางวัลจูงใจและประกาศเกียรติภูมิที่ได้รับ แต่สิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญกว่านั้น ก็คือการแสดงออกถึงระดับความพร้อมในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งจริงๆ แล้วเราทำมาตลอดเวลา มีการกระจายอำนาจมาแล้วระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ เพื่อจะเพิ่มความเข้มแข็งของท้องถิ่น ที่ถือว่าเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาบ้านเมืองของเรา ซึ่งล้วนแต่นำมาซึ่งประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนทุกคน ยังจำกันได้หรือไม่ครับว่าเมื่อต้นปีนี้ มีข่าวดีๆ เกี่ยวกับบ้านเมืองของเราหลายเรื่อง โดยเฉพาะจังหวัดน่านได้รับรางวัลเกียรติยศ เมืองท่องเที่ยวสะอาด อันดับที่ 1 ของอาเซียน จากการประชุมการท่องเที่ยวอาเซียนครั้งล่าสุด นอกจากจังหวัดน่านแล้ว ก็มีจังหวัดยโสธรและจังหวัดตรัง ที่ก็ได้รับการยกย่องด้วยเช่นกัน รางวัลแห่งความภาคภูมิใจนี้ ผมเห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ที่หลายจังหวัดน่าจะใช้เป็นกรณีศึกษา ทั้งในแง่การทำงานอย่างจริงจังของภาครัฐ มีการร่วมมือกับภาคประชาชนอย่างเข้มแข็ง มีการบริหารจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง ก็คือ บ้าน หรือเมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมต่างๆ เช่น ตลาด ถนนคนเดิน ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ก็จะร่วมกับเจ้าหน้าที่เทศบาล เก็บและคัดแยกขยะทุกครั้ง พี่น้องประชาชนดูแลหน้าบ้านของตนให้น่ามอง ทุกเช้า และร่วมมือกันรักษาความสะอาดเส้นทาง ตรอก ซอก ซอยในชุมชน ทุกๆ วัน โดยถือหลักการง่ายๆ ว่า รักเมือง เหมือนรักบ้าน เมื่อแต่ละบ้านมีห้องรับแขกไว้อวดสายตาผู้มาเยือน ที่สะท้อนการรักษาความสะอาดของเจ้าบ้านแล้ว ดังนั้นพื้นที่สาธารณะและแหล่งท่องเที่ยวก็คงเป็นห้องรับแขกของชุมชน ของบ้านเมือง ที่รอต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง รวมทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้งจะสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวชุมชน เจ้าถิ่น อีกด้วย ลักษณะนิสัยแบบนี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด แต่ต้องอาศัยการปลูกฝังกันทุกเมื่อเชื่อวัน ผลดีที่ได้ก็ย่อมจะตกอยู่กับผู้อยู่อาศัยทุกคน ทุกท่าน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวชุมชนที่ยั่งยืนอีกด้วย สำหรับเรื่องขยะก็คงเหมือนกับทุกๆ เรื่องที่ผมต้องการย้ำเตือน ให้เกิดความตระหนัก ให้เราทุกคนที่เป็นเจ้าของบ้าน และทุกภาคส่วนได้ร่วมมือร่วมใจกัน เพราะลำพังภาครัฐเองคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้

บ่อยครั้งเด็กนักเรียนที่ได้รับการปลูกฝังในโรงเรียน แต่พอออกมาสู่สังคมนอกรั้วโรงเรียนแล้ว เด็กๆ กลับไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติในชีวิตจริง ได้ ก็น่าเสียดาย ก็อยากให้ช่วยกันคิด ว่าจะช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่างไรได้บ้าง อย่างเช่น แนวทางการลดใช้ถุงพลาสติกที่หลายประเทศเคยทำ ก็เคยมีคนรวบรวมเอาไว้ ก็น่าสนใจดี อาจจะใช้กลไกด้านราคา ด้วยการจ่ายค่าถุงพลาสติกเพิ่มเพียงเล็กน้อยจากราคาสินค้า แต่มีผลทางจิตวิทยาไม่น้อย อาทิ ประเทศอังกฤษ สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ อิสราเอล ลดได้มากกว่า 80% จากปริมาณที่ใช้เดิมในแต่ละปี โดยนำเงินเพิ่มค่าถุงพลาสติกนี้ ไปใช้ในโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ

ส่วนในประเทศไทย ทราบว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา คิดค่าถุงพลาสติกใบละ 2 บาท สามารถลดการใช้ถุงได้ 90% เช่นเดียวกัน ผมก็มีความเห็นว่า หากเราสามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในหลายๆ มาตรการร่วมกัน ก็น่าจะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ถุงพลาสติกได้อย่างยั่งยืน อย่างเช่น ชาวเกาะเต่า ได้ร่วมใจกันเลิกใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วใส่สินค้า ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต้องนำถุงผ้าหรือเป้สะพายหลังมาใส่สินค้าจากร้านค้าต่างๆ แทน ผู้ประกอบการ ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้อ เห็นพ้องเลิกการใช้ถุงพลาสติก เพื่อให้เกาะเต่าปลอดถุงพลาสติก ไร้มลพิษ และลดขยะสะสมบนเกาะ ลดโลกร้อนไปด้วยกัน

นอกจากเรื่องขยะแล้ว ปัญหาน้ำเสียก็เป็นอีกตัวชี้วัดหนึ่งของการพัฒนาที่ไม่สมดุล ไม่ยั่งยืน ทั้งนี้ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ต้องอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาที่ผ่านมา หรือยุค 3.0 สร้างปัญหาสะสม หมักหมม ให้กับบ้านเมืองของเรามากมาย มีทั้งวิกฤต และโอกาส วันนี้ เราต้องเปลี่ยนหลักคิด สร้างวิถีปฏิบัติใหม่ เพื่อแก้ไขของเก่า และป้องกันของใหม่ ไม่ให้ผิดพลาดซ้ำรอยเดิม ปัจจุบันนั้น ปัญหาแม่น้ำลำคลอง น้ำเน่าเสีย ที่ถูกระบายลงสู่ท้องทะเลไทย นับเป็นวัฏจักร ห่วงโซ่ ของน้ำที่น่าห่วงกังวล ที่ผมกำลังพูดถึง ก็คือสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นในหลากหลายกิจกรรม ทั้งที่เราทุกคนรับรู้และที่เราไม่เคยสนใจ เช่น การทิ้งขยะมูลฝอย การลักลอบปล่อยน้ำเสียโดยไม่มีการบำบัด จากบ้านเรือน ร้านค้า โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม และการชะล้างปุ๋ยเคมีจากพื้นที่เกษตรกรรมลงสู่แม่น้ำลำคลอง เป็นต้น

สุดท้าย ทุกอย่างที่กล่าวมาก็ไหลลงสู่ทะเล ซึ่งที่เป็นรองรับทุกอย่างจากแผ่นดิน เช่น อ่าวไทย ที่ต้องรองรับทุกอย่างจากแม่น้ำ 4 สายสำคัญของประเทศ ได้แก่ แม่น้ำบางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน และแม่กลอง ดังนั้น ถุงพลาสติกในมือเราวันนี้ หรือเมื่อวานนี้ อาจจะไปอยู่ในท้องสัตว์ทะเลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เหมือนคลิปวาฬครีบสั้นที่มาเกยตื้น ซึ่งชมรมวาฬไทยที่นำมาเผยแพร่ โดยหลังผ่าพิสูจน์พบขยะพลาสติกจำนวน 85 ชิ้น น้ำหนักรวม 8 กิโลกรัม ที่ผมได้นำมากล่าวไม่ได้ต้องการจะกล่าวโทษกับใคร เพียงแต่ต้องการจะให้ทุกคนได้ตระหนัก และร่วมกันรับผิดชอบ ปัญหาเหล่านี้จะหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ตามการเจริญเติบโตของประเทศ และการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นการพัฒนาทางวัตถุ และจิตใจควบคู่กันไปด้วย

พี่น้องประชาชนที่รักครับ การสร้างอนาคตประเทศไทยจะสำเร็จสมบูรณ์ไม่ได้เลย ถ้าวันนี้เราไม่มีรากฐานที่รากฐานที่แข็งแรงของภาคการเกษตร ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ เนื่องจากพี่น้องส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคการเกษตร หากมองย้อนจากอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ทุกอย่างค่อยๆ ปรับเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น อาจจะค่อนข้างช้า เพราะเป็นคนส่วนใหญ่ เราได้รับความเชื่อมั่นจากต่างชาติมากขึ้น สตาร์ทอัพภาคการเกษตร Smart Farmer เกิดขึ้นมากมาย พวกเขาเปรียบเสมือนเป็นอนาคตที่สำคัญในภาคการเกษตร สินค้าการเกษตรหลายประเภทส่งออกมากขึ้น และประเทศกำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลมุ่งเสริมสร้างให้เกิดรากฐานที่ดี เพื่อจะเดินไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เราจะสร้างชาติผ่านภาคการเกษตรที่สำคัญไปด้วยกัน เราทิ้งเขาไว้ไม่ได้

ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นคง เข้มแข็ง และยั่งยืน ภาคการเกษตรเปรียบเสมือนรากฐานที่สำคัญของประเทศ ถ้ารากต้นไม้แข็งแกร่งแข็งแรง ต้นไม้จึงจะเติบโตแผ่กิ่งก้านใบออกดอกติดผลได้ แต่ถ้าภาคการเกษตรของเราเข้มแข็งไม่ได้ ไม่มีกระบวนการสร้างและพัฒนาเกษตรกรให้พึ่งพาตนเอง วันนี้การส่งเสริมการเกษตรของไทยยังคงต้องมุ่งเน้นผ่านกระบวนการกลุ่ม หรือการสร้างความเข้มแข็งผ่านองค์กรเกษตรกร ปัจจุบันเรามีกลุ่มเกษตรกรที่เข้มแข็งได้แก่ Smart Farmer มากกว่า 1 ล้านราย มีเกษตรกรรุ่นใหม่ Young Smart Farmer ที่รับการพัฒนาศักยภาพแล้วเกือบ 8 พันราย มีอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน หรือ อกม.ที่คอยสนับสนุนงานทั่วประเทศกว่า 7.5 หมื่นราย กลุ่มแม่บ้านเกษตรประมาณ 2 หมื่นกลุ่ม สมาชิกราย 4.8 แสนราย สมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรทั้งประเทศมากกว่า 1.6 แสนราย

นอกจากนี้ ยังมีศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในสินค้าเกษตร หรือ ศพก. ที่มีเกษตรกรต้นแบบ 882 ราย สมาชิกแปลงใหญ่เกือบ 3,900 กลุ่ม ทั้งหมดเป็นผลมามาการพัฒนางานพัฒนางานการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลามากพอสมควร เพื่อให้พี่น้องชาวเกษตรกรของเรานั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สำหรับนโยบายเรื่องข้าวที่ถือว่าเป็นพืชอาหารหลักของประชาชนในประเทศ และเกี่ยวข้องกับเกษตรกรกลุ่มใหญ่ของประเทศ เราได้มีแนวทางการส่งเสริม สนับสนุนให้ทำการเกษตรแบบรวมกลุ่มที่เรียกว่า ระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ได้มีการบริหารจัดการแปลงอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การผลิตมีศักยภาพสูงสุด ได้ผลผลิตสูง คุณภาพดี มีต้นทุนการผลิตลดลง อีกทั้งมีการเชื่อมโยงตลาดเข้ากับการผลิต เพื่อสร้างเสถียรภาพ ความเชื่อมั่นในเรื่องราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย เกษตรกรมากกว่าร้อยละ 80 มีความพึงพอใจในการรวมกลุ่มทำนา เนื่องจากทำให้กลุ่มมีความเข้มแข็งขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการตลาด ทั้งของวิสาหกิจชุมชนด้านข้าวและสหกรณ์การเกษตร ได้รับรายงานว่า เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 1,325 บาทต่อไร่ โดยปีแรกที่เริ่มทำเพิ่มขึ้น 115 บาทต่อไร่ ปีที่ 2 เพิ่มขึ้น 1,211 บาทต่อไร่ เป็นผลมาจากผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 ขณะที่ต้นทุนการผลิตลดลงร้อยละ 19 ขณะนี้มีชาวนาที่ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการนาแปลงใหญ่จำนวนกว่า 1,900 แปลง รวมเกษตรกรกว่า 1.7 แสนราย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2.4 ล้านไร่ใน 71จังหวัด คงยังไม่เพียงพอต้องทำให้มากขึ้นเรื่อยๆ ในจำนวนนี้เป็นการดำเนินงานในศูนย์ข้าวชุมชน จำนวน 368 แปลงซึ่งในปีงบประมาณ 2562 มีแผนที่จะขยายพื้นที่ให้เป็นผลดีต่อชาวนาเพิ่มขึ้น ให้ความสำคัญกับศูนย์ข้าวชุมชนเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นองค์กรชาวนาที่มีความเข้มแข็ง มั่นคง และเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาข้าวและชาวนาในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งศูนย์ข้าวชุมชนดังกล่าวนั้น จะเป็นองค์กรเราต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศ

ปัจจุบันมีศูนย์ข้าวชุมชนที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการข้าวแล้วประมาณ 1,800 ศูนย์ ตั้งเป้าไว้ที่ 7,000 ศูนย์ นะครับ ในปี 2564 อีก 3 ปีข้างหน้า เร่งให้เร็วขึ้นได้ไหมครับ ในเรื่องของการขึ้นบัญชีขึ้นทะเบียน สำหรับการส่งเสริมและถ่ายทอดการพัฒนา และผลิตข้าว แบบแปลงใหญ่ต้องการให้กระจายสู่ชาวนาทุกพื้นที่ และเชื่อมโยงสู่ตลาด ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง รวมทั้งการขับเคลื่อนการผลิตข้าวพันธุ์ดีไว้บริการชาวนาในแต่ละท้องถิ่น ทราบว่าสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีรวมกันได้ปีละไม่น้อยกว่า 1 แสนตัน ก็ยังไม่เพียงพอ แต่นับว่าเป็นองค์กรหลักของชาวนาที่มีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งชาวนาทั่วไป และอื่นๆ อีกด้วย

สำหรับสถานการณ์ข้าวในปีนี้ หลายประเทศต้องประสบกับปัญหาภัยพิบัติต่างๆ ทำให้พื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวเอเชีย เป็นปีทองของข้าวไทยอีกปีหนึ่ง ต่อเนื่องจากเมื่อปีที่แล้วซึ่งไทยส่งออกข้าวทั้งสิ้น 11.63 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.93 แสนล้านบาท คาดว่าปีนี้จะส่งออกข้าวได้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านตัน จะเป็นผลดีต่อราคาข้าวเปลือกในประเทศ

อย่างไรก็ตาม เรายังคงจำเป็นร่วมมือกันดำเนินการตามนโยบายตลาดนำการผลิต ไม่ใช่เฉพาะเรื่องข้าวอย่างเดียว รวมไปถึงพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ ของประเทศด้วย ว่าเราจะได้ใช้โอกาสนี้ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตที่จะไม่นำมาสู่วังวน ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ตกต่ำ เนื่องจากจำนวนผลิตมากเกินไป เพราะว่าส่วนใหญ่ เพราะว่าส่วนใหญ่เรามักจะเห็นว่าอะไรที่ราคาดีก็เฮโลกันปลูกพืชชนิดเดียวกันในเวลาเดียวกัน

ตลาดที่มีอยู่เท่าเดิมรองรับไม่ไหว เมื่อผลผลิตล้นตลาด เมื่อสถานการณ์นอกประเทศ หรือที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ เขาเป็นปกติ ข้าวมันก็เกิน เกินความต้องการ เราก็จะถูกกดราคา ราคาที่เคยดีอยู่ก็ตกต่ำกลับเป็นปัญหาซ้ำๆ เดิมๆ อยู่แบบนี้ถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยน ไม่เชื่อคำแนะนำของภาครัฐ ไม่ใช้ข้อมูลทางดิจิตัลออกไปเสริมด้วย เราก็จะไม่รู้อะไรเลย
เราจะผลิตอย่างเดียวให้มากที่สุด ให้ได้เงินมากที่สุด จริงๆ แล้วมันยิ่งได้เงินน้อยลง ต้องผลิตแต่พอสมควร ให้คำนึงถึงการตลาดด้วยเสมอ รัฐบาลนี้จะนำพาพี่น้องเกษตรกรไปสู่การปฏิรูปภาคการเกษตรให้ได้ ก็ขอเพียงความเข้าใจและร่วมมือเท่านั้น


นอกจากนี้ การส่งเสริมการเกษตรได้มุ่งเน้นถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เช่น มะม่วง จากเดิมปลูกเป็นพืชหลังบ้าน ปัจจุบันก็เสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ใช้ ส.ป.ก.เชื่อมโยงเครือข่ายกลุ่มผู้ปลูกมะม่วงทั้งประเทศ มีการจัดโซนนิ่งตามเทคโนโลยีการผลิตส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่

ทั้งในเรื่องการตัดแต่งกิ่ง ควบคุมโรคแมลง การส่งเสริมการทำผลผลิตนอกฤดู การพัฒนาตามระบบมาตรฐาน GAP และวางระบบลิจิสติกส์อย่างเหมาะสม จนสามารถสร้างแบรนด์ Thai Golden Mango ได้ ส่งออกนอกต่างประเทศได้กว่า 70,000 ตัน สร้างมูลค่าให้กับประเทศได้กว่า 3,000 ล้านบาท ต้องรักษาคุณภาพให้ดี ให้หวาน ไม่ใช่ส่งได้มากขึ้นๆแล้วคุณภาพไม่ได้ควบคุม ควบคุมไม่ได้มาก และต่อไปก็เป็นมะม่วงเปรี้ยว แล้วเขาก็ไม่สั่งซื้อเราอีกต่อไป อย่าทำลายพวกเรากันเอง

นอกจากนี้ สินค้าเกษตรหลายชนิด เราสามารถปลูกเพื่อทำรายได้กลับเข้าสู่ประเทศ ทั้ง กล้วยไม้ ทุเรียน ลำไย มังคุด กาแฟ และอีกหลายชนิดสินค้า ที่จะสามารถสร้างสินค้าเกษตรให้มีความเข้มแข็งขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องเดินไปพร้อมๆกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และจะต้องสานพลังประชารัฐร่วมกัน จะสามารถสร้างมูลค่าการผลิตภาคเกษตร GDP คิดเป็นมวลรวมภาคเกษตรได้ 1.35 ล้านล้านบาท

และในสัปดาห์นี้ รัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร จัดงานเกษตรสร้างชาติขึ้น ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม -2 กันยายน นี้ ณ สวนลุมพินี ก็จะเป็นอีกงานหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจมหภาค

รวมทั้งการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพ ให้กับพี่น้องประชาชน โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนายกระดับสินค้าเกษตร และเข้าสู่การแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากตลาดท้องถิ่น ตลาดภูมิภาค สู่ตลาดต่างประเทศ และตลาดออนไลน์ ให้คนในเมืองได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม และเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ทั้งเกษตรผู้ผลิตและผู้บริโภค ก็ย่อมจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจฐานราก มีการกระจายตัวของรายได้มากขึ้น ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคได้โดยตรง

ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ และผู้ที่สนใจ เข้าเยี่ยมชม ทำความเข้าใจ ว่าเกษตรสร้างชาติได้อย่างไร อีกทั้งมาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนภาคการเกษตร และมาร่วมแรง ร่วมใจสร้างไทยไปด้วยกัน

พี่น้องประชาชนที่รักครับ ในส่วนของความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย ภายใต้โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น ปัจจุบันก็มีการดำเนินการอยู่หลายมาตรการ ทั้งในเรื่องการสนับสนุนการอุปโภคบริโภคสินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐ ผ่านการใช้บัตร

นอกเหนือไปจากการเพิ่มเครื่องรูดบัตรไปยังร้านค้าต่างๆ อย่างต่อเนื่องแล้ว ก็ยังมีการเพิ่มโอกาสให้ร้านค้าที่เป็นแผงค้า รถเข็น เข้ามาสมัครในโครงการเพิ่มเติม โดยสามารถใช้แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ ในการสแกนบัตรสวัสดิการ โดยไม่ต้องใช้เครื่องรูดบัตรอีกด้วย ก็จะทำให้พี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย มีทางเลือกในการซื้อหาสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคได้มากกว่าเดิม

นอกจากนั้น รัฐบาลก็มีมาตรการให้เงินสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับผู้มีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองให้มีทักษะอาชีพ โดยในกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการ ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้รับวงเงินเพิ่มเติมเพื่อใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอีก เดือนละ 200 บาท

ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี จะได้รับวงเงินเพิ่มเติมอีก เดือนละ 100 บาท ล่าสุด รัฐบาลได้มีการปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินนี้ ให้เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ในบัตรแทน ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของมาตรการ

ซึ่งจะเป็นการทำให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับเงินส่วนนี้ แทนที่จะต้องไปหาร้านค้าที่เข้าโครงการ ก็สามารถถอนเป็นเงินสดออกมาได้เลย โดยใช้บัตรสวัสดิการฯ กับตู้เอทีเอ็ม หรือสาขาของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ เพื่อนำไปจับจ่ายใช้สอยให้ตรงกับความต้องการ หรือหากไม่เบิกถอน หรือมียอดคงเหลือ ก็สามารถเก็บสะสม ไว้ในกระเป๋าเงินในบัตรนี้ต่อไปได้ด้วย ซึ่งเมื่อมาตรการนี้หมดอายุช่วงสิ้นปี ก็จะมีการประเมินผลอีกครั้งเพื่อจะพัฒนาการให้บริการกับพี่น้องประชาชน ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไม่หยุดยั้งต่อไป

นอกจากจะมีการนำกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ มาใช้ในการเพิ่มวงเงินสนับสนุนผู้ต้องการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15สิงหาคม นี้ เป็นต้นไป ภาครัฐโดยกรมบัญชีกลาง ยังได้มีการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุ ที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการ นี้อีกด้วย โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีอายุ 60 ปี บริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ ดังนี้

หากเป็นผู้มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้รับเดือนละ 100 บาท หากมีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปีก็จะได้รับเดือนละ 50 บาท เพิ่มลงไปในกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์นี้ ซึ่งสามารถถอนเป็นเงินออกมาใช้ได้เช่นกัน

ทั้งนี้ สวัสดิการส่วนเพิ่มสำหรับผู้มีรายได้น้อย ทั้งในเรื่องการพัฒนาอาชีพและเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุนี้ เป็นส่วนที่ภาครัฐต้องการจะเพิ่มความยืดหยุ่นในการจับจ่าย เราก็หวังว่าพี่น้องประชาชนจะนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายในสินค้าและบริการที่จำเป็น และช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เกิดกระแสเงินหมุนเวียนในระบบ

ในส่วนของมาตรการด้านอื่นๆ ของบัตรสวัสดิการก็จะยังกำหนดให้เป็นสินค้าและบริการที่เฉพาะเจาะจง ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชนต่อไป

พี่น้องประชาชนครับ อีกโครงการหนึ่งที่เราเปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา แล้วก็คาดว่าจะทยอยให้บริการได้ในเดือนตุลาคมนี้ ก็เป็นช่องทางหนึ่งในการสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของประเทศในระยะยาว ก็คือการจัดให้มีบริการบัญชีเงินฝากพื้นฐาน ซึ่งจะหมายถึงบัญชีเงินฝากแบบใหม่ที่ธนาคารต่างๆ จะให้บริการแก่ประชาชน โดยการเปิดบัญชีไม่จำเป็นต้องมีเงินไปฝาก ไม่มีค่าธรรมเนียมรักษาบัญชี อีกทั้งไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี ในการมีบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเดบิต และค่าธรรมเนียมอื่นๆ จะไม่สูงกว่าการทำธุรกรรมแบบเดียวกันในบัญชีอื่นๆ โดยผู้ได้รับสิทธิ์ในการเปิดบัญชีเงินฝากพื้นฐาน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกก็คือผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปัจจุบันมีประมาณ 11.4 ล้านราย อีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป โดยจะต้องมีสัญชาติไทย

มาตการนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงบริการทางการเงิน ที่มีต้นทุนต่ำกว่าเดิม ลดความเหลื่อมล้ำ

จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยและโครงการสำรวจภาคครัวเรือน พบว่ามีครัวเรือนประมาณร้อยละ 30 ที่ยังไม่สามารถจะเปิดบัญชีเงินฝาก หรือไม่ได้ใช้บริการทางเงินฝาก สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาก จากร้อยละ 20 ในปี 2556 พบว่าอุปสรรคส่วนใหญ่นั้นเกิดมาจากการที่ต้องมีเงินไปเปิดบัญชี การต้องมีเงินไว้ในบัญชี เพื่อรักษาบัญชีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่สูงเกินไป กล่าวได้ว่า ข้อจำกัดนี้สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม ช่วงที่ผ่านๆ มารัฐบาลนี้มองเห็น พยายามแก้ไขในทุกมิติที่เราสามารถจะทำได้ ซึ่งการมีบัญชีเงินฝากพื้นฐานนี้จะช่วยให้พี่น้องประชาชนสามารถใช้บริการด้านการเงิน เรื่องการโอนเงิน และชำระเงิน โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะในปัจจุบัน ที่การโอนเงิน การชำระเงิน เพื่อทำการค้าขายหรือทำธุรกรรมต่างๆ จะผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น และต่อไปก็อาจจะต่อยอดให้การใช้บัญชีนี้ไปสู่การทำมาค้าขายในชีวิตประจำวัน รวมถึงการประกอบอาชีพ เช่น เรื่องการค้าขายออนไลน์ และนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตในที่สุด อีกทั้งจะเป็นเหมือนประตูบานแรกของการเข้าสู่บริการทางการเงิน ที่จะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนนั้นมีความรู้ ความเข้าใจทางการเงินมากขึ้น มีช่องทางในการออมเงินมากขึ้น นอกจากนี้ การโอนเงินสวัสดิการต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนในระยะต่อไป ก็สามารถทำผ่านระบบออนไลน์ไปยังบัญชีธนาคารของแต่ละคนโดยตรงได้อีกด้วย

ในเรื่องนี้ก็จะเป็นการช่วยในการบริการประชาชนของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพขึ้น ที่สำคัญอีกประการ ก็คือจะช่วยลดช่องทางการทุจริตไปได้พร้อมกันอีกด้วย

ผมขอขอบคุณธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 14 แห่ง ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ที่เข้าร่วมในโครงการนี้ เพื่อช่วยกันคนละไม้ละมือ ช่วยกันลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ ที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ ซึ่งธนาคารที่เข้าร่วมโครงการนี้ก็สามารถให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากที่ผมได้กล่าวไปในตอนต้นได้ด้วย

พี่น้องประชาชนที่สนใจก็สามารถจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ หากท่านผ่านเงื่อนไข เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการภาครัฐ หรืออายุ 65 ปีขึ้นไป ที่มีสัญชาติไทย ก็สามารถจะไปเปิดบัญชี ที่ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการได้ ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้

ผมขอฝากไว้ว่า การใช้งานบัญชีเงินฝากขั้นพื้นฐานนี้ ก็ต้องดูแลให้ตรงกับวัตถุประสงค์ด้วย หากท่านมีเงินหมุนเวียน หรือยอดคงค้างในบัญชีเกิน 50,000 บาท ต่อเดือน หรือไม่มีการฝากเข้า ถอนออก หรือโอนระหว่างบัญชี ภายใน 24 เดือน ธนาคารก็อาจจะขอปรับบัญชีเงินฝากขั้นพื้นฐานของท่านกลับไปให้เป็นบัญชีเงินฝากปกติ ที่จะต้องมีการเสียค่าธรรมเนียมเหมือนทั่วไปอีกด้วย

สุดท้ายนี้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่รัฐบาลและ คสช.ทำมา ก็ล้วนแต่มีผลกับการเพิ่มรายได้ กระจายรายได้ เสริมสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถในระยะยาวอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย โดยไม่หวังเพียงผลในระยะสั้น หรือเลือกทำในสิ่งที่ง่ายๆ เห็นผลไวแต่เพียงอย่างเดียว เราต้องทำไปด้วยกัน ทั้งรัฐ เอกชน ประชาชน ภาคประชาสังคมด้วย เราช่วยกันในรูปแบบประชารัฐตามนโยบายรัฐบาลนี้

ผมขอฝากบันไดสู่ความสำเร็จ 3 ขั้น คือ คิด พูด ทำ วันนี้ ผม รัฐบาล คสช. เราเริ่มแล้ว ทั้งคิดริเริ่ม เพื่อหาแนวทางปฏิรูปที่ยั่งยืน พูดอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมมือ และ 3 ทำเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เห็นผลสัมฤทธิ์ แล้วท่านเริ่มกันหรือยังล่ะครับ ขอให้ทุกคนร่วมแรง ร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ และทุกครอบครัวมีความสุข ปลอดภัย สวัสดีครับ