พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว แถลงผลจับกุม นายไพจิตร์ สายยา อายุ 40 ปี อาชีพคนขับแท็กซี่ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครพนม ฐานฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น กรณีแอบอ้างเป็นตนหลอกลวงช่วยเหลือเรื่องวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งราชการ โดยมีผู้เสียหาย 6 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 4 ล้านบาท
ทั้งนี้ การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อปี 2557 นายไพจิตร์ มีพฤติการณ์ใช้โทรศัพท์มือถือหมายเลข 081-494-3461 สมัครแอปพลิเคชันไลน์ ชื่อ “คนดีมีแต่ให้” พร้อมใช้ภาพ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ขณะปฏิบัติภารกิจ เป็นภาพ โปรไฟล์ไลน์พูดคุยกับสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองนครพนม จนเกิดความสนิทสนม ก่อนจะมีการอ้างกับ 6 ผู้เสียหาย ว่า สามารถโยกย้ายไปตำแหน่งระดับสูงขึ้น หรือในพื้นที่ที่ต้องการได้ ผู้เสียหายจึงเชื่อใจโอนเงินเข้าบัญชีผู้ต้องหา กระทั่งคำสั่งโยกย้ายมีผล แต่ปรากฏว่าผู้เสียหายทั้งหมดไม่ได้โยกย้ายตามที่ตกลง จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ศรีสงคราม และสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่ย่านพระโขนง
ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง อีกทั้งส่วนตัวก็ไม่เคยซื้อขายตำแหน่ง เพราะการจะเลื่อนขั้นขึ้นอยู่กับผลงานเท่านั้น ขณะที่ตำรวจทั้ง 6 คน ที่ซื้อตำแหน่งจะถูกดำเนินคดีอาญา ข้อหาสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิด และตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ประกอบด้วย นายตำรวจ สังกัดภูธรภาค 4 จำนวน 5 นาย และ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 1 นาย ซึ่งทั้งหมดมีความผิดสำเร็จ และเบื้องต้นจาก 3 ใน 6 นายให้การรับสารภาพว่า จ่ายเงินเพื่อแลกตำแหน่งจริง ซึ่งจะเข้าข่ายความผิดร้ายแรงถึงขั้นไล่ออก
ทั้งนี้ การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อปี 2557 นายไพจิตร์ มีพฤติการณ์ใช้โทรศัพท์มือถือหมายเลข 081-494-3461 สมัครแอปพลิเคชันไลน์ ชื่อ “คนดีมีแต่ให้” พร้อมใช้ภาพ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ขณะปฏิบัติภารกิจ เป็นภาพ โปรไฟล์ไลน์พูดคุยกับสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองนครพนม จนเกิดความสนิทสนม ก่อนจะมีการอ้างกับ 6 ผู้เสียหาย ว่า สามารถโยกย้ายไปตำแหน่งระดับสูงขึ้น หรือในพื้นที่ที่ต้องการได้ ผู้เสียหายจึงเชื่อใจโอนเงินเข้าบัญชีผู้ต้องหา กระทั่งคำสั่งโยกย้ายมีผล แต่ปรากฏว่าผู้เสียหายทั้งหมดไม่ได้โยกย้ายตามที่ตกลง จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ศรีสงคราม และสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่ย่านพระโขนง
ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง อีกทั้งส่วนตัวก็ไม่เคยซื้อขายตำแหน่ง เพราะการจะเลื่อนขั้นขึ้นอยู่กับผลงานเท่านั้น ขณะที่ตำรวจทั้ง 6 คน ที่ซื้อตำแหน่งจะถูกดำเนินคดีอาญา ข้อหาสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิด และตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ประกอบด้วย นายตำรวจ สังกัดภูธรภาค 4 จำนวน 5 นาย และ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 1 นาย ซึ่งทั้งหมดมีความผิดสำเร็จ และเบื้องต้นจาก 3 ใน 6 นายให้การรับสารภาพว่า จ่ายเงินเพื่อแลกตำแหน่งจริง ซึ่งจะเข้าข่ายความผิดร้ายแรงถึงขั้นไล่ออก