นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า กรมควบคุมมลพิษได้แจ้งเตือนประชาชนที่ประกอบกิจกรรมการเกษตรและการท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ให้ระมัดระวังการประกอบกิจกรรมทางน้ำเมื่อเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี ซึ่งจะพบในบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยพบบ่อยในพื้นที่ จ.ระยอง ช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน และใน จ.ชลบุรี ช่วงเดือนพฤษภาคม - กันยายน ของทุกปี เมื่อเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี แพลงก์ตอนพืช หรือสาหร่ายขนาดเล็ก จะมีปริมาณมากบริเวณผิวน้ำ ทำให้แสงแดดส่องไปสู่ใต้น้ำได้น้อยลง อีกทั้งเมื่อแพลงก์ตอนพืชตายลง และถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนในการย่อยสลาย ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำน้อย จนเกิดภาวะขาดออกซิเจน ทำให้น้ำเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็น สัตว์น้ำบริเวณดังกล่าวขาดออกซิเจนและตายได้ เกิดผลกระทบกับการท่องเที่ยวและการประมง โดยผู้ประกอบกิจกรรมทางน้ำควรระมัดระวัง หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางน้ำ เมื่อสังเกตเห็นน้ำทะเลเปลี่ยนสี เพราะอาจเกิดอาการคันและระคายเคืองต่อผิวหนังได้ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคสัตว์น้ำที่จับจากบริเวณที่เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี เนื่องจากสัตว์ทะเลอาจกินแพลงก์ตอนบางชนิด ที่จะส่งผลให้ผู้บริโภคปวดท้องและท้องเสีย
สำหรับแนวทางการจัดการปัญหาการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี สามารถทำได้โดย กำหนดมาตรการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ ไม่ให้มีการระบายปริมาณสารประกอบไนเตรทและฟอสเฟตมากเกินไป ควรมีการเข้มงวดการควบคุม กำกับดูแลการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากเกษตรกรรม ชุมชน และโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ต้องส่งเสริมให้เกษตรกรมีการใช้ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพดิน ชนิดพืช เวลาที่ต้องการ รวมทั้งวิธีการใช้ปุ๋ยที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม การจัดการปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ประกอบการ เกษตรกร และประชาชนที่ประกอบกิจกรรมทางน้ำ เพื่อร่วมกันบรรเทาปัญหาที่จะเกิดจากปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี