นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมติดตามงบประมาณของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ว่า ที่ประชุมได้ติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2561 ของทั้ง 3 หน่วยงาน พบว่า ขณะนี้กรมทางหลวงชนบทเบิกจ่ายงบฯ ไปแล้วร้อยละ 38 จากที่ตั้งเป้าว่าภายในสิ้นเดือนมีนาคม จะเบิกจ่ายได้ถึงร้อยละ 48 ส่วนกรมทางหลวง เบิกจ่ายงบฯ ไปแล้วร้อยละ 32 คาดว่าสิ้นเดือนมีนาคม จะสามารถเบิกจ่ายได้ร้อยละ 50 ขณะที่การรถไฟแห่งประเทศไทย เบิกจ่ายได้เพียงร้อยละ 23 และสิ้นเดือนมีนาคม คาดว่าจะเบิกจ่ายได้ร้อยละ 30
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบฯ ของกรมทางหลวงชนบท และกรมทางหลวง เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ ว่าภายในสิ้นเดือนมีนาคม ทุกหน่วยงานต้องเบิกจ่ายงบฯ ให้ได้ร้อยละ 43 ส่วนการรถไฟฯ ที่มีการเบิกจ่ายล่าช้านั้น สาเหตุมาจากปัญหาการดำเนินงานรูปแบบใหม่ตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2560
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมไม่น่าเป็นห่วง เชื่อว่าทั้ง 3 หน่วยงานจะสามารถเบิกจ่ายงบฯ ได้ตามแผนที่ไว้อย่างแน่นอน
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้เร่งรัดให้การรถไฟฯ เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินให้สอดคล้องกับแผนการก่อสร้างโครงการต่างๆ วงเงินงบประมาณปี 61 กว่า 2,500 ล้านบาท อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กิโลเมตร โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย (ระยะที่ 1กรุงเทพฯ - นครราชสีมา) ระยะทาง 253 กิโลเมตร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเร่งรัดให้การรถไฟฯ ดำเนินการบริเวณจุดตัดรถไฟ ได้แก่ การติดตั้งเครื่องกั้นอัตโนมัติ หรือก่อสร้างสะพานข้ามในกรณีที่มีปริมาณการจรจาจรเกิน 1 แสนคันขึ้นไป
ในส่วนของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบทนั้น ให้เร่งติดตามผลการพิจารณาของธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เกี่ยวกับการกู้เงินจากเอดีบี เพื่อนำมาก่อสร้างขยายผิวจราจรจาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร ใน 3 เส้นทาง ได้แก่ ส้นทางหนองหาน-พังโคน จ.สกลนคร ตอนที่ 1 และ2 ระยะทาง 35 กิโลเมตร วงเงินรวม2,000 ล้านบาท เส้นทางสกลนคร-นครพนม ระยะทาง 34 กิโลเมตร วงเงินรวม1,720 ล้านบาท และเส้นทาง ร้อยเอ็ด-ยโสธร ตอนที่ 1 และ2 ระยะทาง 55 กิโลเมตร วงเงินรวม 2,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ การกู้เงินจากเอดีบี จะกู้เพียงครึ่งเดียวจากงบประมาณทั้งหมด ส่วนอีกครึ่งเป็นงบประมาณจากรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาเอดีบีเห็นว่าทั้ง 3 โครงการ มีความสำคัญต่อการกระจายความเติบโตทางเศรษฐกิจ