วันนี้ (19 ม.ค. 61) จากกรณีคณะกรรมการค่าจ้างมีมติให้ปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำปี 2561 ที่อัตรา 308-330 บาทต่อวัน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุถึงกรณีคณะกรรมการค่าจ้างมีมติให้ปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำปี 2561 ที่อัตรา 308-330 บาทต่อวัน ว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวถือเป็นอัตราที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อให้กับแรงงาน เพราะได้รับค่าจ้างเพิ่มในระดับพอสมควร แต่กระทรวงพาณิชย์ต้องเข้าดูแลราคาสินค้าให้สอดคล้องกับค่าแรง และไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคา
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า จากการศึกษาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-22 บาท กระทบต่อต้นค่าแรงขั้นต่ำให้ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10.5 บาทต่อวัน กระทบต่อราคาสินค้าและบริการระดับสูงสุดเพียงร้อยละ 0.1 โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ภาคการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น ในส่วนภาคบริการ อาทิ ก่อสร้าง ขายส่ง ขายปลีก โรงแรม ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม การฟอกและตกแต่งหนังฟอก เครื่องจักรสำนักงาน โลหะขั้นมูลฐาน โดยกระทรวงพาณิชย์ เตรียมแถลงถึงมาตรการดูแลราคาสินค้าปี 2561 เพื่อราคาเป็นธรรมกับผู้บริโภค และในสัปดาห์หน้าได้เชิญผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ มารับฟังข้อเท็จจริงถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จะชี้แจงผลการวิเคราะห์ต้นทุนการปรับขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ว่า ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการเพียงเล็กน้อย ควรมีการตรึงราคาออกไปก่อนเพื่อลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน
ด้านนายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ในวันที่ 22 มกราคมนี้ กรรมการบริหาร ส.อ.ท.เตรียมประชุมใหญ่กับสมาชิกทั้งประเทศ เพื่อหารือถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างแรงขั้นต่ำครั้งนี้ โดยได้ให้อุตสาหกรรมแต่ละจังหวัดไปหารือกับผู้ประกอบการ และเสนอผลกระทบมาอย่างละเอียด
ขณะที่ นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะคอร์ปอเรชั่น ระบุว่า ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมฯ ยังไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากอัตราค่าจ้างของโรงงานในนิคมฯปัจจุบันเกิน 400 บาทต่อวัน แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดน่าจะเป็นกลุ่มเอสเอ็มอี ที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุถึงกรณีคณะกรรมการค่าจ้างมีมติให้ปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำปี 2561 ที่อัตรา 308-330 บาทต่อวัน ว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวถือเป็นอัตราที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อให้กับแรงงาน เพราะได้รับค่าจ้างเพิ่มในระดับพอสมควร แต่กระทรวงพาณิชย์ต้องเข้าดูแลราคาสินค้าให้สอดคล้องกับค่าแรง และไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคา
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า จากการศึกษาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-22 บาท กระทบต่อต้นค่าแรงขั้นต่ำให้ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10.5 บาทต่อวัน กระทบต่อราคาสินค้าและบริการระดับสูงสุดเพียงร้อยละ 0.1 โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ภาคการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น ในส่วนภาคบริการ อาทิ ก่อสร้าง ขายส่ง ขายปลีก โรงแรม ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม การฟอกและตกแต่งหนังฟอก เครื่องจักรสำนักงาน โลหะขั้นมูลฐาน โดยกระทรวงพาณิชย์ เตรียมแถลงถึงมาตรการดูแลราคาสินค้าปี 2561 เพื่อราคาเป็นธรรมกับผู้บริโภค และในสัปดาห์หน้าได้เชิญผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ มารับฟังข้อเท็จจริงถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จะชี้แจงผลการวิเคราะห์ต้นทุนการปรับขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ว่า ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการเพียงเล็กน้อย ควรมีการตรึงราคาออกไปก่อนเพื่อลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน
ด้านนายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ในวันที่ 22 มกราคมนี้ กรรมการบริหาร ส.อ.ท.เตรียมประชุมใหญ่กับสมาชิกทั้งประเทศ เพื่อหารือถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างแรงขั้นต่ำครั้งนี้ โดยได้ให้อุตสาหกรรมแต่ละจังหวัดไปหารือกับผู้ประกอบการ และเสนอผลกระทบมาอย่างละเอียด
ขณะที่ นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะคอร์ปอเรชั่น ระบุว่า ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมฯ ยังไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากอัตราค่าจ้างของโรงงานในนิคมฯปัจจุบันเกิน 400 บาทต่อวัน แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดน่าจะเป็นกลุ่มเอสเอ็มอี ที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม