สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก เห็นชอบร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีที่มีการแก้ไขครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 30 ปี ด้วยคะแนนเสียง 227 ต่อ 203
นายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน ประกาศว่า เป็นการลงมติเพื่อคืนเงินแก่ทุกคนในประเทศ ในขั้นตอนต่อไปคือการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภาเพื่ออภิปรายและลงมติในวันนี้ ซึ่งในวุฒิสภา พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากด้วยเสียงที่มากกว่าเดโมแครตเพียง 4 เสียง คือ 52-48 เสียงเท่านั้น หากที่ประชุมเห็นชอบก็จะเสนอให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย
สาระสำคัญของกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ ได้แก่ การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากระดับร้อยละ 35 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 21 และจะให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม ปีหน้า แต่ให้มีขั้นบันไดของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ที่ 7 ขั้น คือ ที่ระดับร้อยละ 10, 12, 22, 24, 32, 35 และ 37 โดยลดอัตราภาษีขั้นสูงสุดจากระดับร้อยละ 39.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 37 ซึ่งทำให้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นกฎหมายที่เอื้อผลประโยชน์ต่อคนรวย เพราะจะได้รับการปรับลดภาษีมากกว่า และยิ่งขยายช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนรวยกับคนยากจน ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น แต่รีพับลิกันยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้ส่งผลดีต่อธุรกิจขนาดเล็ก จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการจ้างงาน
นายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน ประกาศว่า เป็นการลงมติเพื่อคืนเงินแก่ทุกคนในประเทศ ในขั้นตอนต่อไปคือการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภาเพื่ออภิปรายและลงมติในวันนี้ ซึ่งในวุฒิสภา พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากด้วยเสียงที่มากกว่าเดโมแครตเพียง 4 เสียง คือ 52-48 เสียงเท่านั้น หากที่ประชุมเห็นชอบก็จะเสนอให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย
สาระสำคัญของกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ ได้แก่ การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากระดับร้อยละ 35 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 21 และจะให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม ปีหน้า แต่ให้มีขั้นบันไดของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ที่ 7 ขั้น คือ ที่ระดับร้อยละ 10, 12, 22, 24, 32, 35 และ 37 โดยลดอัตราภาษีขั้นสูงสุดจากระดับร้อยละ 39.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 37 ซึ่งทำให้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นกฎหมายที่เอื้อผลประโยชน์ต่อคนรวย เพราะจะได้รับการปรับลดภาษีมากกว่า และยิ่งขยายช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนรวยกับคนยากจน ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น แต่รีพับลิกันยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้ส่งผลดีต่อธุรกิจขนาดเล็ก จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการจ้างงาน