xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 1 กันยายน 2560

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

...

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดตั้ง จิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ขึ้น เพื่อเป็นการรวมพลังความรัก และพลังน้ำใจของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ในการน้อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ประกอบด้วยกิจกรรมอาสา 8 ประเภทได้แก่ งานบริการประชาชน งานดอกไม้จันทน์ งานประชาสัมพันธ์ งานโยธา งานขนส่ง งานแพทย์ งานรักษาความปลอดภัย และงานจราจร โดยได้เปิดลงทะเบียนรับสมัครประชาชนจิตอาสาฯ ทั่วประเทศ ตลอดเดือนกันยายนนี้ รายละเอียดตามหน้าจอ หรือสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ที่สายด่วน 1510 และ 1511

ช่วงบ่ายวันนี้ วันที่ 1 กันยายน สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เสด็จทรงปลูกต้นไม้ และทรงเป็นประธานในพิธีประทานกล้าไม้มงคล ตามโครงการต้นกล้าจิตอาสา รวมพลังศรัทธา ปลูกป่าทั่วแผ่นดิน ณ พุทธมณฑล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ที่รัฐบาลรณรงค์ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมกันสืบสานพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เรื่องการปลูกป่าที่ไม่เพียงเป็นแหล่งอาหารแก่มนุษย์และสัตว์เท่านั้นแต่ยังเป็น ต้นทาง ของระบบนิเวศน์ วัฏจักรแห่งฤดูกาล และวงจรการผลิตของประเทศด้วย ปัจจุบันต้นไม้ของเราตามโครงการนี้มีประมาณ 3 แสนกว่าต้น บนพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ทั่วประเทศ ก็ขอให้ดูแลต้นไม้ของท่านให้เติบใหญ่ แข็งแรง อุดมสมบูรณ์ด้วย ทั้ง 2 กิจกรรมที่ผมได้กล่าวไปนั้น เป็นความผูกพันเกื้อกูลกัน ของ 3 สถาบันหลักของประเทศ คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่หลอมรวมกันเป็นชาติไทย เป็นชาติเอกราช มายาวนานกว่า 700 ปีแล้ว สิ่งที่ผมอยากจะบอก ไม่ใช่เพียงการเชิญชวนให้มีส่วนร่วมในกิจกรรม จิตอาสาและปลูกป่า เท่านั้น แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นถึง ปริศนาธรรม หรือ กุศโลบาย ที่แฝงอยู่ในกิจกรรมเหล่านั้นด้วย กล่าวคือ การมีจิตสำนึก จิตสาธารณะ เป็นพื้นฐานของความเสียสละเพื่อส่วนรวม และสำนึกในความรักชาติ ซึ่งจะนำไปสู่ความสามัคคีปรองดองของคนทั้งชาติ ที่มีเป้าหมายและวิสัยทัศน์เดียวกัน โดยสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถสร้างได้เพียงข้ามคืน หรือสั่งซื้อได้ แต่ต้องอาศัยการปลูกฝังอย่างมีแบบแผน และต้องอาศัยเวลา เหมือนการ ปลูกป่าในใจคน ตามศาสตร์พระราชา ที่เราต้องอดทนรอการผลิตดอกออกผล เช่นเดียวกับ การลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน และการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกว่าจะเห็นผล ก็ใช้เวลา 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี

สำหรับศาสตร์พระราชา ในเรื่องต่างๆ นั้น เราควรค้นหา แก่นแท้ หรือความหมายที่แท้จริงให้พบ เพื่อจะนำไปปฏิบัติ หรือสั่งสอนลูกหลานได้อย่างถูกต้อง ผมเคยพูดกับพี่น้องประชาชน และพี่น้องข้าราชการ อยู่เสมอๆ ว่า พวกเราอาจจะรู้ ว่าโดยหลักการแล้วหลักปรัชญาขอเศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร แต่เราจะเข้าใจ หรือไม่ ก็ต้องดูว่า ใครสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือการประกอบอาชีพและได้ผลเป็นเช่นไร และก็เหมือนกับที่ผมเพียรบอกพี่น้องกับสื่อมวลชนว่า การนำเสนอข่าวของรัฐบาลนั้น ไม่ควรเสนอข่าวในลักษณะประชาสัมพันธ์ ด้วยการออกอากาศภาพปราศรัย ตัดริบบิ้น กดปุ่ม หรือ ถ่ายรูปหมู่แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะเป็นเพียง กระพี้หรือเป็นเพียงเปลือกนอก แต่อยากขอให้นำเสนอสาระแก่นสารของงานดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลข่าวสารที่จะเป็นสาธารณะประโยชน์อย่างแท้จริง เช่น หลักการและเหตุผล แนวคิด และวิธีการในการปฏิบัติเหล่านั้นนะครับ ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การเข้าแถว ที่คนส่วนใหญ่ มักจะพูดถึงความสำคัญ จำเป็น ในแง่ของความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือความมีวินัย แต่ในความเป็นจริงแล้วการเข้าแถวสอนอะไรอีกหลายอย่าง เช่น การรู้จักรอคอย ไม่ใจร้อน ไม่แก่งแย่ง หรือหาทางเอาเปรียบผู้อื่น หรือถืออภิสิทธิ์ ทุกคนเท่าเทียมกัน การไม่ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น ซึ่งเป็นการรักษาสิทธิส่วนบุคคลด้วย การเคารพกติกาสังคม ที่จะนำไปสู่การเคร่งครัดปฏิบัติตนในกรอบของกฎหมาย รวมทั้งไม่ยอมให้ใครละเมิดกฎหมายด้วยถือว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย เป็นต้น

ที่กล่าวมานั้น ผมอยากจะสรุปว่าการเข้าแถวเป็นพื้นฐานหนึ่งที่สำคัญมาก ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย" ซึ่งหากเราต้องการให้ "ดอกไม้แห่งประชาธิปไตย" ของเราเบ่งบาน งดงาม ในอนาคต เราต้องปลูกฝัง จิตสำนึกเหล่านี้ ด้วยการให้เหตุและผล อย่างลึกซึ้งแก่ลูกหลานไทย ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน แล้วเยาวชนของชาติ ทุกคน ก็จะเป็นผู้ที่มีเหตุผล และพร้อมที่จะรับฟังความเห็นต่าง หรือเหตุผลของผู้อื่น อันเป็นวิถีทางของประชาธิปไตย โดยเนื้อแท้ พี่น้องประชาชนที่รัก การวางแผนเพื่ออนาคตนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับ เยาวชนของชาติ ที่เปรียบเสมือนกับ การปลูกต้นไม้ หากเราต้องการ ต้นไม้ประชาธิปไตย ก็ต้องเพาะเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยในจิตใจของลูกหลานของเรา อย่างเป็นระบบเสียตั้งแต่ในปัจจุบันนะครับ วันนี้ รัฐบาลก็ได้ผลักดันพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชน ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560 ที่กำหนดให้มีสภาเด็กและเยาวชน ในทุกระดับตั้งแต่ระดับตำบล เทศบาล อำเภอ จังหวัด ถึงระดับชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชน ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางและเสนอแนะในการพัฒนาประเทศ โดยการปลูกฝัง จิตวิญญาณประชาธิปไตย ผ่านกิจกรรมกลุ่มเชิงสร้างสรรค์ และกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ เช่น การทำงานเป็นทีม การมีภาวะผู้นำ การคิดวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ งานจิตอาสา รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการป้องกัน แก้ไขปัญหา และการพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศชาติ อย่าลืม ก็ต้องส่งเสริมการเคารพกฎหมายด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเล็ก กฎหมายน้อย หรือกฎหมายใหญ่ใดๆ ก็ตามอย่าไปดูเฉพาะรัฐธรรมนูญแต่เพียงอย่างเดียวจะทำให้สังคมเกิดความสับสน อลหม่าน

ในโอกาสนี้ ผมขอเชิญชวนให้เด็กและเยาวชนไทย ไปประชุมร่วมกัน ณ เทศบาลตำบล อำเภอ และจังหวัด ที่ท่านมีชื่อในทะเบียนบ้าน เพื่อคัดเลือก คณะบริหารสภาเด็กและเยาวชน ประจำท้องถิ่นของท่าน รายละเอียดตามวัน เวลา และสถานที่ ตามหน้าจอ ทั้งนี้ ผมคาดหวังว่าสภาเด็กและเยาวชนนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของการวางโครงสร้างทางสังคมใหม่ ที่มั่นคงกว่าเดิม โดยจะเป็นกลไกหนึ่ง ที่มีความเชื่อมโยง และเป็นประโยชน์กับการทำงานของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้าน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กำลังคุกคามลูก หลานของเราในทุกวันนี้ ได้แก่ สื่อออนไลน์ ที่มีทั้งดีและไม่ดียากแก่การควบคุม เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศใช้เวลาเพียง เศษหนึ่งส่วนล้านวินาที ในการพัฒนาและเปลี่ยน แปลงอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่กระบวน การออกกฎหมายใช้เวลาแรมปี แต่รัฐบาลนี้ก็ได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด อย่างน้อยก็คือ 2 ประการหลักๆ ในการรับมือกับภัยคุกคามยุคดิจิทัล ดังกล่าวโดย 1.ผลักดันพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 เพื่อใช้เป็นกลไกสำคัญ ในการส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาการ ส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อและการใช้สื่อในทางที่เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ ตลอดจน การสร้างภาคีเครือข่ายในการเฝ้าระวังทุกพื้นที่ และศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ครอบคลุมทุกจังหวัด ทั่วประเทศเพื่อจะสร้างสร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชน ในการรับสารจากสื่อและใช้สื่อโซเชียลอย่างรู้เท่าทัน และมีวิจารณญาณ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาสื่อในทุกมิติ ภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ก็คือ ขยายสื่อดีมีความเท่าทัน บูรณาการกลไก และใช้กฎหมายเป็น และ 2.การรวมพลังสื่อสร้างสรรค์สังคมไทยที่มีกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมงานกับกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ พร้อมทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน ภาคีเครือข่ายสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เข้าร่วมกว่า 50 องค์กร ในการสนับสนุนให้เกิดสื่อดีมีคุณค่าที่คนทุกหน่วยของสังคมจะเข้าถึง และอย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้สร้างสรรค์ ให้เยาวชนและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ประเทศชาติมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมในยุคประเทศไทย 4.0

พี่น้องประชาชนครับ การบริหารประเทศในยุคดิจิทัลนี้ รัฐบาลและ คสช.ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการที่จะนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ มาให้บริการ และอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน โดยมีแผนงานโครงการทั้งที่รัฐบาลนำร่องให้ และสนับสนุนเอกชนให้ดำเนินการ ซึ่งล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการของระบบตั๋วร่วม e-ticket หรือบัตรแมงมุม ซึ่งในอนาคตรัฐบาลมีแผนที่จะพัฒนาให้สามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า เรือโดยสาร แอร์พอร์ตเรลลิงก์ รวมถึงค่าใช้จ่ายค่าสินค้าและค่าบริการทั่วไป ซึ่งระบบตั๋วร่วมนี้ในเบื้องต้นจะเริ่มใช้ได้สำหรับการเดินทางด้วยรถเมล์ และ ขสมก. 800 คันแรก ซึ่งได้รับการติดตั้งเครื่องอ่านตั๋วร่วม ภายในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ และจะติดตั้งอีก 2,600 คัน ภายในต้นปี 61 จากนั้นจะใช้กับรถไฟฟ้า 4 สาย ที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบันได้แก่ แอร์พอร์ตเรลลิงก์ รถไฟฟ้าสายสีม่วง สีเขียว และสีน้ำเงิน ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการด้วยบัตรร่วมนี้ในเดือนกรกฎาคมของปีหน้า และระยะต่อไปจะสามารถใช้บริการได้ครอบคลุมทุกระบบขนส่ง ได้แก่ รถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ระบบทางพิเศษ ทางหลวงพิเศษ และเรือโดยสาร เป็นต้น โดยนอกจากจะใช้งานระบบตั๋วร่วมในภาคการขนส่งแล้ว พี่น้องประชาชนยังจะสามารถใช้ในการชำระค่าสินค้า และบริการอื่นได้อีกด้วย ซึ่งจะให้เริ่มใช้กับร้านค้าของกระทรวงพาณิชย์เป็นการนำร่องไปก่อน

นอกจากนั้น ระบบตั๋วร่วมถูกออกแบบเพื่ออนาคตให้สามารถรองรับระบบการจ่ายเงินสวัสดิการสังคม และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาล ภายใต้โครงการระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ โดยผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการใช้บริการระบบขนส่ง เช่น รถโดยสารประจำทาง โดยกระทรวงการคลังได้กำหนดแผนบูรณาการระบบตั๋วร่วมเข้ากับระบบจ่ายเงินเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยให้ใช้งานระบบตั๋วร่วมได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป

นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน และจัดระบบการให้บริการของภาครัฐ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ และเป็นสากลมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องการจะลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้กับผู้มีรายได้น้อยได้บ้าง โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรบริการแห่งรัฐดังกล่าว เรียกว่าเป็นประชารัฐสวัสดิการ ที่เป็นการให้วงเงินในบัตรตามรายละเอียดบนหน้าจอ โดยพี่น้องประชาชนสามารถจะใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ ผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ณ หน่วยงาน หรือร้านค้าที่กำหนด โดยยอดเงินจะถูกตัดลดลงตามการใช้จ่าย และจะเติมเงินให้เต็มจำนวนตามเดิม ในวันที่ 1 ของทุกเดือน จะใช้กับการเติมเงินในโทรศัพท์ที่เราคุ้นเคย แต่วงเงินคงเหลือจะไม่มีการสะสมไว้ ในเดือนถัดมาจะไม่สามารถจะแปรเป็นเงินสดได้อีกด้วย ขอให้ใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดจากสวัสดิการที่รัฐบาลพยายามจะเข้ามาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั้ง 11 กว่าล้านคน ไม่อยากให้ไปใช้ในการซื้อหาสิ่งของที่ไม่จำเป็น หรือทำลายสุขภาพ เพราะความรักและความหวังดีของผมและรัฐบาลที่มีต่อท่านนั้นไม่พอ แต่ท่านต้องรักตัวเอง รักสุขภาพ รักครอบครัวท่านด้วย

พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ นอกเหนือในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้การบริการประชาชนของภาครัฐมีประสิทธิภาพขึ้นตามสมควรแล้ว อีกด้านหนึ่งของการตอบโจทย์ของการเข้ายุค 4.0 และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล คือการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบชำระเงินของประเทศแบบดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ รวมทั้งลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจและประชาชนรายย่อยที่นำไปสู่การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อีกทั้งยังเป็นระบบสากลที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถเชื่อมโยงกับต่างประเทศได้ดีขึ้นอีกด้วย

ที่ผ่านมาภาครัฐได้ดำเนินการในหลายมิติพร้อมๆ กัน ทั้งการสนับสนุนการใช้ระบบ การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ e-Payment ของพี่น้องประชาชน เพื่อจะให้เกิดความสะดวกสบายไม่ต้องถือเงินสด ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอน หรือเงินหล่นหาย ในขณะเดียวกันได้เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบในภาพรวม โดยมีการวางมาตรฐานความปลอดภัย ให้ทั่วถึงและเป็นธรรมด้วย เมื่อพี่น้องประชาชนและภาคธุรกิจหันมาใช้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ใช้บัตรเดบิต หรือชำระค่าสินค้า และค่าบริการผ่านทางโทรศัพท์มากขึ้น ร้านค้าต่างๆ ก็จะปรับตัวให้รองรับการชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆ หรือใช้บัตรได้มากขึ้นตามไปด้วย นอกจากจะช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการซื้อขายสินค้า บริการ หรือโอนเงินแล้ว ยังช่วยการใช้เงินสดในระบบที่เป็นต้นทุนลงได้อีกด้วย คำถามคือว่า ทำไมเราถึงควรใช้เงินสดให้น้อยลงมันมีข้อดีอย่างไร แล้ว Cashless Society หรือสังคมไร้เงินสดคืออะไร เราจำเป็นต้องปรับตัวอย่างนั้นหรือไม่

ประการแรกคือ พี่น้องจะได้รับความสะดวกสบายและความปลอดภัยมากขึ้น เพราะไม่ต้นพกเงินสดไปไหนมาไหน โดยเฉพาะถ้าต้องไปซื้อสินค้าราคาสูงๆ ไม่ต้องขนเงินไปมากมาย ไม่ต้องกลัวถูกฉกชิงวิ่งราว หรือการซื้อของทั่วไปไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกด ATM หรือผู้ขายไม่ต้องกังวลเรื่องการทอนเงิน หรือการทำธุรกรรม หรือการซื้อขายคล่องตัวขึ้นใช้เวลาน้อยลง อีกประการหนึ่งเราต้องมองในภาพรวมมหภาคในการบริหารจัดการเงินสดที่มีต้นทุนสูงมาก ในแต่ละปีมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่การผลิต การนับคัดธนบัตร หรือหมุนเวียนธนบัตรเก่าออกจากระบบ และใส่ธนบัตรใหม่ในระบบ ให้พ่อแม่พี่น้องทุกท่านมีธนบัตรที่มีคุณภาพใหม่ไว้ใช้งานอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการขนส่งที่ต้องมีการดูแลรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด นอกจากนี้ การที่จะต้องมีเงินสดค้างไว้ในตู้ ATM ครั้งละมากๆ จะถือเป็นต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ เพราะไม่ได้มีดอกเบี้ย กองไว้เฉยๆและยังต้องดูแลความปลอดภัยอีกด้วย ดังนั้นเพื่อสนับสนุนให้การชำระเงินของประเทศมีความเชื่อมโยง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดทำแผน National e-Payment ของประเทศขึ้น ได้รับความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ ผู้วางโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่สะดวก ประหยัด ปลอดภัย และเป็นธรรม มีการดำเนินงานแบบโครงการต่างๆ ได้แก่

1.โครงการพร้อมเพย์ ที่เปิดตัวไปเรียบร้อยแล้ว เป็นการส่งเสริมการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่เป็นรูปแบบไม่ใช้การ์ด เพราะเป็นการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือระบบอินเตอร์เน็ต สนับสนุนให้การโอนเงินระหว่างพี่น้องประชาชน หรือการโอนชำระค่าสินค้า และบริการให้กับร้านค้าทำได้สะดวก และมีต้นทุนในการโอนที่ถูกมาก เช่น ถ้าโอนไม่เกิน 5,000 บาท ก็จะไม่มีค่าธรรมเนียมเลย โดยพี่น้องประชาชนหรือร้านค้ารายย่อย สามารถผูกหมายเลขโทรศัพท์ หรือหมายเลขประจำตัวประชาชน ผู้ประกอบการ ก็สามารถผูกหมายเลข ไว้กับบัญชีเงินฝาก ซึ่งจะสะดวกกับผู้ที่โอนเงินให้เรา ไม่ว่าจะโอนเงินจากธนาคารใด หากโอนเข้าไปในบัญชีที่ผูกกับระบบพร้อมเพย์ไว้ ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกมากๆ จริงๆแล้วคนที่ผูกบัญชีพร้อมเพย์ คงเรียกได้ว่าพร้อมรับการโอนเงินนั่นเอง

ที่ผ่านมา ประชาชน และธุรกิจต่างๆ ให้ความสนใจลงทะเบียนพร้อมเพย์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถิติล่าสุดมีจำนวน ผู้ลงทะเบียนแล้วถึง 32 ล้านเลขหมาย และมีการโอนเงินสะสมกว่า 1 แสนล้านบาทแล้ว หากท่านสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ธนาคารพาณิชย์ สาขาต่างๆได้โดยตรง หรือสอบถามข้อมูลที่ศูนย์บริการให้ความรู้ทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยที่หมายเลข 1213 ได้

ท่านใดที่ยังลังเลเพราะกังวลเรื่องการสมัครพร้อมเพย์อาจทำให้รัฐบาลมาตรวจสอบการโอนเงิน หรือการชำระภาษี คงจะเป็นคนละเรื่องกัน เพราะหากภาครัฐต้องการจะตรวจสอบในเรื่องเหล่านี้ ก็สามารถทำได้อยู่แล้วในระบบการโอนเงินแบบเดิม

2.การใช้เครดิตการ์ด หรือเดบิตการ์ด ภายใต้โครงการ National e-Payment นี้ รัฐบาลก็ได้ดำเนินการขยายการรับบัตรเครดิต เดบิต ออกไปในวงกว้างขึ้น โดยมีการติดตั้งเครื่องรูดบัตรให้ร้านค้า และสถานที่ราชการ เพื่อได้ดำเนินการให้พี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยยังผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนบัตรเอทีเอ็ม และบัตรเดบิต ให้เป็นแบบชิปการ์ดทั้งหมดภายในปี 2562 เพื่อจะเพิ่มความปลอดภัยของการใช้บัตรอีกด้วย ซึ่งเป็นทางเลือกในการใช้บริการได้กวางขวางมากขึ้นตามความสะดวก ตรงความต้องการ อีกทั้งการติดตั้งเครื่องรูดบัตร ได้ขยายออกไปทุกๆพื้นที่ของประเทศนี้เพื่อสอดรับนโยบายการใช้บัตรสวัสดิการของภาครัฐเพื่อให้กลุ่มประชาชนฐานรากสามารถนำมาใช้ซื้อสินค้า และบริการ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ด้วย โดยในระยะต่อไปก็จะสามารถเชื่อมต่อกับระบบตั๋วร่วมได้ ชีวิตประจำวันของท่านก็จะสะดวกสบายมากขึ้นอีกด้วย

ระยะแรกหากมีปัญหาอยู่บ้างก็คงจะต้องแก้ปัญหากันด้วย เพราะเราไม่เคยทำลักษณะอย่างนี้ในการพัฒนาเอาเทคโนโลยีมาใช้ มีการใช้ระบบดิจิตัลเข้ามา ซึ่งอันนี้เป็นการเดินหน้าประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 และต้องช่วยกัน อย่าเพิ่งติติงอะไรกันมาก เพราะเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงกันมานานแล้ว การเปลี่ยนแปลงแน่นอนอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง หรือไม่มีเลยก็ได้

พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านที่รัก เรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งอีกเรื่องหนึ่งคือเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้แถลงความร่วมมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรต่างๆ พร้อมทั้งผู้ให้บริการทางการเงินในไทย ในการใช้มาตรฐาน QR Code ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางสำหรับการชำระเงิน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ 5 บริษัท ผู้ให้บริการบัตรเครือข่ายบัตรระดับโลกได้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งเป็นการยกระดับ และสะท้อนความเป็นสากลของ ทั้งนี้นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาระบบแล้ว ผู้ให้บริการชำระเงินในประเทศไทยก็สามารถใช้งานร่วมกันได้ โดยไม่ต้องคิดรูปแบบ QR Code ของตัวเอง ที่แตกต่างกันออกไป อาจจะสร้างความสับสนให้กับลูกค้า และร้านค้าก็สามารถใช้ QR Code ตามมาตรฐานนี้ในการรับชำระเงินได้ทั่วไป ทั้งจากผู้ให้บริการชำระเงินในประเทศและรองรับในการชำระเงินระหว่างประเทศด้วย

ที่ผ่านมาเราอาจจะเคยเห็นนักท่องเที่ยวจีนที่ได้เอา QR Code จากประเทศจีนเข้ามาใช้ชำระเงินในไทย ซึ่งแต่ละบริษัทเพื่อให้เป็นการชำระเงินจากจีนจะมี QR Code ของตนเอง แต่สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ของไทยจะใช้ QR Code ร่วมกันได้ทั้งหมด ซึ่งหมายถึงจะสามารถรองรับทุกช่องทางการชำระเงินทางการใช้จ่ายผานบัตรเครดิต เดบิต หรือบัญชีเงินฝากธนาคาร ดังนั้น QR Code จึงถือว่าเป็นเครื่องมือในการชำระเงินที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย ผู้โอน ผู้รับโอน ผู้ให้บริการโมบายแอปพลิเคชันของธนาคารพาณิชย์ ผู้ให้บริการอื่นๆ หรือผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรโทรศัพท์มือถือในการอ่าน QR Code ของร้านค้าเพื่อซื้อของ หรือชำระเงินได้อย่างง่ายดาย สะดวกรวดเร็ว

ทั้งนี้ การโอนจะต้องมีการใส่รหัสผ่านก่อนเข้าใช้แอปพลิเคชัน และจะมีการส่งข้อความ ให้ท่านสามารถตรวจสอบจำนวนเงิน และชื่อผู้รับก่อนด้วย ร้านค้าก็จะมีต้นทุนการรับชำระทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ต่ำลงมาก โดยเฉพาะร้านค้าขนาดกลาง และขนาดเล็ก จะสามารถพิมพ์ QR Code ติดไว้ที่หน้าร้าน หรือหน้าแผง เพื่อให้ลูกค้าสแกนได้ทันที และสามารถรองรับการชำระเงินผ่านช่องทางที่หลากหลายได้

นอกจากนี้ การสแกน QR Code ผ่านโมบายแอปพลิเคชัน ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกค้าเพราะไม่ต้องให้บัตร หรือข้อมูลบนบัตรแก่ร้านค้าไม่ต้องกังวลเรื่องเอาข้อมูลไปปลอมบัตรอีกต่อไป ที่สำคัญระบบนี้พัฒนาอยู่บนโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของธนาคาร และผู้ให้บริการในปัจจุบัน เช่น การลงทะเบียนพร้อมเพย์ การให้บริการบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ถือว่ามีความปลอดภัยในระดับสากลมีการตรวจสอบเป็นประจำอยู่แล้ว และปัจจุบันก็ยังอยู่ระหว่างการทดลองใช้เพื่อทดสอบให้มั่นใจในความถูกต้องของการทำรายการและการดูแลผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถทยอยให้ผู้ใช้บริการกับพี่น้องประชาชนทั่วไปได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป

นอกจากนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจยิ่งขึ้นธนาคารแห่งประเทศไทยได้แสวงหาความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อจะยกระดับความปลอดภัยในการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือด้วย ที่สำคัญ บริการชำระเงินด้วย QR Code จะเข้าถึงร้านค้าในชีวิตประจำวันของประชาชนได้จริง ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ตลาดสด ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็ก หรือร้านใหญ่ ร้านค้าทั่วไป ร้านค้าออนไลน์ รวมถึงรถโดยสารสาธารณะและบริการอื่นๆ ซึ่งการใช้ QR Code นี้ สามารถขยายตัวไปอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งธุรกิจ แหล่งท่องเที่ยว หรือเขตต่างจังหวัด จะใช้ได้กับธุรกิจหลายประเภท ไม่มีข้อจำกัด ซึ่งก็ถือว่าเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ สร้างประสิทธิภาพ สร้างโอกาส ให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ห่างไกล สามารถทยอยเข้าไปส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจดิจิตอลได้ สำหรับท่านที่สนใจติดตามข่าวคราวและทดลองใช้ หากไม่มั่นใจ ขอให้สอบถามที่สายด่วน 1213 ได้ แล้วค่อยช่วยกันปรับตัวกันต่อไป ไม่ต่างอะไรกับบัตร ATM คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ ที่เข้ามาในชีวิตเราเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว แรกๆ ก็ยังมึนๆ งงๆ อยู่ เดี๋ยวก็ชักจะเก่ง ใช้กันคล่องทุกคน

อย่างที่ผมเคยเรียนว่า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี เราต้องรู้เท่าทัน ปรับตัว นำมาใช้ประโยชน์ให้ได้ เพราะเราเลี่ยงไม่ได้ เราก็ควรจะอยู่กับการเปลี่ยนแปลงให้มีความสุขและปลอดภัยให้ได้ เพื่อทุกคนจะได้ก้าวไปข้างหน้าได้พร้อมๆ กัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

สุดท้ายนี้ จากการเปิดรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนผ่าน 4 คำถาม เมื่อเกือบ 50 วันที่ผ่านมา วันนี้ก็ยังคงเปิดรับฟังอยู่นะครับ ผมเคยเรียนไปแล้วว่า เราจะเปิดรับฟังตลอดไป หลายๆ คนอาจจะเข้าใจว่าปิดไปแล้วหรือยัง ยังไม่ปิดนะครับ ยังไม่มีกำหนด เพราะฉะนั้นก็อยากจะฟังเพิ่มเติมอีก ซึ่งวันนี้ผมได้รับรายงาน และมีผลการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ในครั้งที่ 5 นี้ มียอดผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นแล้ว รวมเกือบ 8 แสนคน ผมขอขอบคุณในความร่วมมือ ข้อมูลที่ได้นับว่ามีคุณค่าต่อการบริหารประเทศ ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต สะท้อนให้เห็นว่าพี่น้องประชาชนมีความตระหนักและเริ่มเรียนรู้ถึงบทเรียนและประสบการณ์ที่ไม่ได้ราบรื่นในอดีตมากขึ้น โดยไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก ที่สำคัญก็คือ ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาการได้มาซึ่งรัฐบาลที่บกพร่องเรื่องธรรมาภิบาล และป้องกันนักการเมืองไม่ดี ที่ทุจริต หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ให้เข้ามาสู่วงจรการเลือกตั้งได้อีกต่อไป โดยการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัด เป็นต้น

ทั้งนี้ ผมขอให้เชื่อมั่นและไว้ใจว่ารัฐบาลนี้ และ คสช. จะนำผลการวิเคราะห์ดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ ให้เป็นไปตามที่พี่น้องประชาชนต้องการ และเพื่อการพัฒนาประเทศของเราอย่างยั่งยืนต่อไป หลายท่านมีการศึกษาชั้นประถมฯ มากขึ้น แสดงว่าทุกคนเริ่มเข้าใจ เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมกันแล้ว ก็อยากให้ทุกระดับการศึกษา ทุกช่วงวัย ทั้งหญิง ทั้งชาย เข้ามาแสดงความคิดเห็นให้มากยิ่งขึ้น สามารถที่จะตอบคำถามแบบปลายเปิดมาก็ได้ ผมจะได้รับฟังและนำมาพิจารณาในการดำเนินการ

สำหรับผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อนโยบายและมาตรการของรัฐผ่านรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนนี้ ก็เป็นอีกแหล่งข้อมูลที่สะท้อนให้รัฐบาลและ คสช. ได้เห็นว่าประเด็นที่พี่น้องประชาชนได้เฝ้าติดตามชมและรับฟังรายการนี้ เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงกับปัญหาปากท้อง และการอยู่ร่วมกันในสังคม อาทิ

1. การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม ฝนแล้ง
2. ความพยายามในการลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสที่เท่าเทียม
3. การพัฒนาศักยภาพคน ให้มีทักษะความรู้ มีคุณธรรม มีจิตสาธารณะ ส่งเสริมการเล่นกีฬา การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
4. การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
5. การสร้างความมั่นคงของพลังงาน การวางแผน การใช้ การผลิต และการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน และพลังงานทดแทนอย่างเป็นระบบ
6. การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย ให้อำนวยความสะดวก ไม่เป็นอุปสรรค รวมทั้งลดภาระของภาคธุรกิจ และภาคประชาชน
7. การปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ป่า และน้ำ รวมทั้งการจัดสรรใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสม
8. การยกระดับการให้บริการภาครัฐ และการดูแลงบประมาณสำหรับระบบรัฐสวัสดิการ
9. การลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามนอกประเทศในทุกมิติ เช่น ก่อการร้าย ยาเสพติด ไซเบอร์ โรคระบาด
10. การเตรียมรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ และ
11. การปฏิรูปการศึกษาในทุกมิติ เป็นต้น

ทั้งนี้ ความตั้งของผมไม่ใช่การประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาล ผมต้องการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมแห่งความร่วมมือ ต้องการให้พวกเราทุกคนตระหนักและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาร่วมกัน โดยผมจะได้นำข้อมูลที่จะเป็นสาธารณประโยชน์ทั้งปวงมาพูดคุยกับพี่น้องประชาชน เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการเดินหน้าประเทศของเราไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนให้ได้

ในช่วงนี้มีหลายอย่างที่เป็นประเด็นเป็นความละเอียดอ่อน ซึ่งอาจจะมีผลในเรื่องของการทำงาน ก็ขอให้ทุกคนได้หนักแน่น และพยายามที่จะหาวิธีการบำบัดที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมาย เรื่องของกระบวนการยุติธรรมต่างๆ เราต้องหาข้อสรุปให้ได้ เพราะหากนำทุกประเด็นเหล่านั้นมาสร้างความขัดแย้งกันอีกต่อไป มันก็ย่อมจะปรองดองอะไรไม่ได้ และอาจจะมีผลเกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูป เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจด้วย เพราะวันนี้พี่น้องทั้งหลายก็ยังคงมีหนี้สินอยู่เป็นจำนวนมาก การลงทุนต่างๆ ก็ยังไม่ได้ผลมากนัก เพราะยังเป็นการลงทุนระยะแรก ต้องมีการก่อสร้าง ต้องมีการผลิตอะไรเยอะแยะ มันถึงจะมีรายได้กลับเข้ามาสู่พี่น้องทั้งหมด นั่นเป็นสิ่งที่ต้องทำการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่นี้ ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ หลายคนอาจจะยังลำบากอยู่ ผมเข้าใจ เห็นใจ ก็จะทำให้ได้มากที่สุดนะครับ

ทั้งนี้ ก็ด้วยจิตใจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ตั้งมั่นของพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล คสช. ข้าราชการ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ซึ่งก็พยายามทำงานอย่างเต็มที่ ก็ขอให้พวกเราได้แยกแยะกันให้ออกว่าอะไรที่มันจะสร้างความขัดแย้ง อะไรที่จะสร้างปัญหา และมีผลกระทบกับเรื่องอื่นๆ หากว่าเอาชนะคะคานกันต่อไป มันก็ไม่จบสักเรื่อง

ขอขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น