xs
xsm
sm
md
lg

สวัสดีญี่ปุ่น-สวัสดีนารา-สวัสดีซากุระ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : เด็กเที่ยว
วิหารใหญ่แห่งวัดโทได-จิ วิหารไม้หลังใหญ่ที่สุดในโลก
ผมเชื่อว่ามีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่คิดอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งในชีวิต โดยเฉพาะคนที่มีอายุต่ำกว่า 45 ปีลงมา ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะคนส่วนใหญ่ในวัยนี้ได้รับเอาวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ามาค่อนข้างมาก จนกระทั่งเกิดความชื่นชมและกลายกลับมาเป็นความประทับใจอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งแต่เด็ก

หรือจะมีใครปฏิเสธว่าไม่เคยติดการอ่านหรือดูการ์ตูนญี่ปุ่นอย่างอุลตร้าแมน ไอ้มดแดง ขบวนการมนุษย์สีต่างๆ โดเรมอน ดร.สลัมป์ ดราก้อนบอล หรือการ์ตูนยอดฮิตในอดีตอย่างเจ้าหนูนักสืบอย่างโคนันกันบ้างล่ะ
ซากุระผลิบานเต็มต้นหน้าวิหารใหญ่วัดโทได-จิ
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ที่ได้เสพและซึมซับเอาวัฒนธรรมและความรู้สึกดีๆ หลายๆ อย่างเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นมาจากการ์ตูนที่ได้อ่านและได้ดูจากโทรทัศน์เมื่อตอนเด็กๆ ถึงขั้นรบเร้าบอกคุณพ่อคุณแม่ให้พาไปเที่ยวญี่ปุ่นก็หลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปสักที

แต่ในที่สุดความฝันที่จะได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นของผมก็เป็นจริง เพราะวันนี้ผมได้มาอยู่เหนือน่านฟ้าญี่ปุ่นในยามที่ซากุระกำลังผลิบาน ซึ่งอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเครื่องบินที่ผมนั่งอยู่ก็จะลงแตะรันเวย์สนามบินคันไซ จากนั้นผมก็จะได้ย่างก้าวลงในแผ่นดินญี่ปุ่นอย่างที่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ เสียที

หลังจากผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ได้สัมผัสอากาศอันหนาวเย็นของญี่ปุ่นในยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิสมใจอยาก อุณหภูมิก็ประมาณ 10 องศาเซลเซียส แต่ยืนปะทะลมหนาวได้เพียงพักเดียวก็ต้องรีบเดินทางต่อ เพราะกลัวว่าจะไปเที่ยวนาราไม่ทันตามแผนที่วางไว้

ระหว่างนั่งรถอยู่บนสะพานข้ามอ่าวโอซาก้า ที่ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างสนามบินกับเกาะหลัก เพื่อนไกด์ของผมที่ไปอยู่ญี่ปุ่นมาเกือบ 20 ปีก็ได้คุยฆ่าเวลาให้ฟังเกี่ยวกับสนามบินคันไซว่า จริงๆ แล้วสนามบินคันไซ (Kansai International Airport : KIX) แห่งนี้ เป็นสนามบินแห่งที่ 2 ของโอซาก้า (แห่งแรกคือ Osaka หรือ Itami Airport) สร้างขึ้นมาจากการถมขยะปริมาณถึง 21 ล้านลูกบาศก์เมตรที่ถูกบีบอัดจนแน่นลงไปในทะเล เพื่อให้กลายเป็นพื้นของสนามบินหนา 30 เมตร โดยใช้คนงานในการก่อสร้างถึง 10,000 คน และใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 3 ปี จึงแล้วเสร็จเป็นเกาะสนามบินขนาด 1x4 ตร.กม. ลอยเด่นอยู่ทางตอนใต้ของอ่าวโอซาก้าอย่างเช่นทุกวันนี้
ซากุระบานสะพรั่ง ณ ศาลเจ้าเล็กๆ หน้าวัดโทได-จิ
สนามบินแห่งนี้เปิดใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 และเคยได้รับรางวัลยอดเยี่ยมหนึ่งในสิบทางด้านโครงสร้างของ "Civil Engineering Monument of the Millennium" ในปี ค.ศ. 2001 ที่จัดโดย The American Society of Civil Engineers มาแล้วด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม สนามบินแห่งนี้ก็เคยทรุดตัวจมลงไปถึง 8 เมตรระหว่างการทดสอบการใช้งานในปี ค.ศ. 1991 ทำให้วิศวกรต้องใช้วิธีการสอดแผ่นเหล็กหนาเข้าไปที่ฐานเพื่อรองรับตัวสนามบินทั้งหมดอีกชั้นหนึ่ง ทำให้งบประมาณการก่อสร้างบานปลายไปจนถึงประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

ฟังเรื่องนี้แล้วผมก็เลยวกกลับมาคิดถึงสนามบินสุวรรณภูมิของเราในทางที่ดีขึ้นอีกเยอะ ว่าการที่รันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิของเราทรุดไปบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้สำหรับสนามบินใหม่ๆ ที่มีการถมที่เพื่อสร้างสนามบิน และก็ถือเป็นเรื่องเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับการทรุดตัวของสนามบินคันไซในอดีต แต่อย่างไรก็ตามผมก็อยากจะเห็นการเร่งแก้ไขปัญหานี้ให้เรียบร้อยเหมือนกับที่สนามบินคันไซได้ทำมาแล้วในอดีตด้วยเช่นกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่ต้องใช้บริการสนามบินแห่งความภาคภูมิใจของพวกเราทุกคน
พระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณเหนือน่านฟ้าญี่ปุ่น
กลับมาเรื่องเที่ยวกันต่อ หลังจากแวะทานข้าวเช้ากันเล็กน้อย ทั้งผมและเพื่อนไกด์ก็มุ่งตรงไปยังเมืองนารา เมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น ซึ่งแม้จะเป็นเมืองหลวงอยู่เพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่นาราก็มีความน่าสนใจอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อ และระบบการปกครอง ที่บางส่วนนั้นได้หยั่งรากลึกจนกลายมาเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นในปัจจุบัน

ก่อนที่นาราจะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ.1253 ญี่ปุ่นไม่ได้ยึดถือเมืองใดเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นหลักแหล่ง โดยจะย้ายเมืองหลวงทุกครั้งเมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ ตามความเชื่อในลัทธิชินโต จนเมื่อญี่ปุ่นได้รับเอาพุทธศาสนาเข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติ จึงได้สถาปนาเมืองหลวงแห่งแรกขึ้นที่นารา

แต่เมื่อพระในพุทธศาสนาได้เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นในด้านการเมืองการปกครอง จักรพรรดิคัมมูจึงทรงสั่งให้ย้ายเมืองหลวงจากนาราไปยังเกียวโตเพื่อหลบเลี่ยงอิทธิพลของพระเหล่านี้ ทำให้นาราดำรงสถานภาพเป็นเมืองหลวงอยู่เพียง 75 ปีเท่านั้น
สวนสาธารณะนาราที่นักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารกวางนับพันๆ ตัวได้อย่างอิสระ
เมื่อไปถึงนารา สถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องไปเยี่ยมชมก็คือวัดสำคัญที่สุดของนารา นามว่า“วัดโทได-จิ” แต่ก่อนจะถึงวัดไม่นาน เราจะได้เห็นสวนสาธารณะนารา ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่กว้างใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยพื้นที่ถึง 5.25 ตร.กม. และคลาคล่ำไปด้วยฝูงกวางแสนเชื่องนับเป็นพันๆ ตัว

แต่ถึงจะเชื่องอย่างไรก็ตาม เพื่อนไกด์ของผมก็ได้เตือนว่าต้องระวังด้วยเวลาที่จะให้อาหารพวกกวางเหล่านี้ เพราะหากเราทำท่าจะให้อาหารแล้วไม่ให้สักที กวางแสนเชื่องพวกนี้ก็จะกลับกลายเป็นกวางแสนฉุน ตามงับนิ้วเอาก็มี

ก่อนไปถึงหน้าวัดผมก็ได้เห็นความงามของดอกซากุระที่ผลิบานเต็มต้นเป็นครั้งแรกที่บริเวณศาลเจ้าเล็กๆ ก่อนถึงตัววัด ต้องบอกว่าแม้ที่ศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้จะมีต้นซากุระไม่มากนัก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติแวะเวียนมาถ่ายรูปกันอย่างหนาแน่น เรียกว่าจะถ่ายรูปเดี่ยวก็ได้รูปหมู่มาเสียเยอะ
สวนสาธารณะนารา
สำหรับชาวต่างชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะการได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นและได้เห็นดอกซากุระบานนั้นถือว่าโชคดีมากๆ เพราะดอกซากุระนั้นจะบานเพียงปีละครั้งเดียว ครั้งละประมาณหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น เมื่อถึงเวลาร่วงก็จะร่วงพร้อมกันหมด

ดังนั้นภาพดอกซากุระสีชมพูบานเต็มต้นทั่วทั้งเมืองจึงเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนญี่ปุ่นทุกคน (รวมทั้งผมด้วย) ปรารถนาจะได้เห็น และการเก็บเกี่ยวความประทับใจเอาไว้ก็คงไม่มีวิธีการใดที่จะดีไปกว่าการที่ได้มีรูปถ่ายของตนกับดอกซากุระสักใบติดมาเป็นที่ระลึก

ส่วนชาวญี่ปุ่นเอง วันที่ดอกซากุระผลิบานนั้นถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในวิถีชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว เพราะถือเป็นวันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ เป็นวันที่หลุดพ้นจากฤดูหนาวอันแสนทรมาน และจะได้เริ่มต้นในการทำเกษตรกรรมหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันอีกครั้งหนึ่ง คนญี่ปุ่นจึงถือว่าวันที่ดอกซากุระบานเป็นวันที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง หลายคนถึงขั้นขอลางานออกมาเดินชม ถ่ายรูป หรือปูเสื่อนั่งชมซากุระกัน ก็เป็นภาพที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
สะพานเชื่อมระหว่างสนามบินคันไซกับเกาะหลัก
เรื่องวันที่ซากุระบานนี้เพื่อนไกด์ของผมพูดให้ฟังว่า กรมอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นถึงขั้นต้องมีการพยากรณ์กันเลยว่าซากุระจะบานวันไหน และถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ต้องพยากรณ์ให้แม่นยำที่สุด แล้วยังพูดติดตลกให้ฟังเล่นๆ อีกด้วยว่าปัญหาโลกร้อนนั้นคนญี่ปุ่นก็รู้สึกว่าเป็นปัญหาสำคัญ แต่ถ้าหากอากาศของโลกนี้ร้อนขึ้นจนซากุระไม่บานแล้วล่ะก้อ เมื่อนั้นล่ะคนญี่ปุ่นจะรู้สึกถึงเรื่องโลกร้อนกันอย่างชัดเจนเลยทีเดียว และอาจจะมากกว่าคนอื่นๆ ในโลกเสียด้วยซ้ำ

ผมฟังแล้วก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยอยู่มาก และเชื่อว่าถ้าทุกท่านได้ไปเห็นบรรยากาศของญี่ปุ่นในช่วงที่ซากุระบานเหมือนผมแล้ว ก็คงจะคิดอย่างเดียวกับผมเป็นแน่

หลังจากเดินคุยกับเพื่อนไกด์มาได้สักพัก ผมก็ได้มายืนอยู่หน้าวัดโทได-จิ จนได้ แต่คงจะพาทุกท่านเข้าไปชมไม่ทันแล้วในตอนนี้ เลยขอเอารูปมาฝากให้เกิดความอยากกันก่อน แล้วเจอกันตอนหน้าในวัดครับ...(อ่านต่อตอนหน้า : เที่ยววัดโทได-จิ)
กำลังโหลดความคิดเห็น