xs
xsm
sm
md
lg

นักลงทุนถือครองทองคำลดเสี่ยง ตลาดผันผวนเล่นตามกรอบทิศทางขาลง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


Mr. Andrew Naylor ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาค APAC (ไม่รวมประเทศจีน) ของสภาทองคำโลก(ซ้าย) และ นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG (ขวา)
สภาทองคำโลก เผยนักลงทุนไทยมีพอร์ตการลงทุนหลากหลายเพื่อลดความเสี่ยง และป้องกันความมั่งคั่ง เหตุกังวลตลาดการเงินล่มจากการเมืองและเศรษฐกิจ ขณะผลิตภัณฑ์ทองคำดิจิทัลช่วยดึงดูดนักลงทุนรายย่อยเพิ่ม ส่วนใหญ่ซื้อขายทองตามคำแนะนำ “วายแอลจี” เผยทองคำได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ส่วนผู้ประกอบการร้านทองมองทองคำอยู่ในช่วงขาลง แนะการลงทุนเน้นเล่นตามกรอบแนวโน้มทิศทางขาลง พร้อมให้ป้องกันความเสี่ยงท่ามกลางความผันผวนของตลาด

ในสภาวะที่ปัจจัยลบหลายอย่างรุมเร้าเศรษฐกิจทั่วโลก และตัวเลขทางเศรษฐกิจในหลายประเทศกำลังทยอยประกาศออกมา ซึ่งมีทั้งผลบวกและลบ ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุต่อภาพรวมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด เป็นการสร้างแรงกดดันต่อตลาดทองคำด้วย สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือจะเห็นแรงเทขายอย่างต่อเนื่องในสินทรัพย์โลหะมีค่า รวมถึงซิลเวอร์ สําหรับปริมาณการซื้อขายในประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ดี ไทยยังถือเป็นประเทศที่มีการซื้อทองคำมากสุดประเทศหนึ่ง

โดยตัวเลขจาก “สภาทองคำโลก (World Gold Council)” เผยผู้บริโภคชาวไทยมีความเข้าใจในการลงทุน โดยมีการนำรายได้ 35 % มาลงทุุนในทอง และผู้ลงทุนมีผลิตภัณฑ์การลงทุุนเฉลี่่ย 3.5 รายการ ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าตนเองเป็นนักลงทุนที่มีความมั่นใจ และเต็มใจที่จะลองลงทุนในหลายรูปแบบเพื่อแลกกับการเติบโตทางการเงินแบบทวีคูณ

ทั้งนี้ พบว่า 87% ของนักลงทุนไทยเห็นด้วยว่า การมีพอร์ตลงทุนที่หลากหลายเพื่อช่วยปกป้องความมั่งคั่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนชาวไทยมีความกังวลถึงภาวะตลาดการเงินล่ม พวกเขาจึงต้องการทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่เลือกลงทุน และมีมุมมองในการลงทุนระยะยาว

โดยผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า ทองคำเป็นการลงทุนที่นิยมมากที่สุดเป็นอันดับสองในพอร์ตการลงทุนของประเทศไทย และกว่าครึ่งหนึ่งของนักลงทุนรายย่อยในประเทศได้ถือครองทองคำในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยการลดความเสี่ยงเป็นปัจจัยหลัก (57%) ที่กระตุ้นให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนในทองคำ แนวโน้มเช่นนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า นักลงทุนรายย่อยตระหนักถึงบทบาทของทองคำในฐานะผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีความปลอดภัย ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับบทบาทของทองคำในพอร์ตการลงทุน ที่ถือเป็นเครื่องมือช่วยปกป้องความมั่งคั่ง

ขณะที่นักลงทุนกว่า 40% ได้ซื้อทองคำเพื่อการลงทุนในช่วง 12 เดือนก่อนการสำรวจ โดยทองคำแท่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 30% ของนักลงทุน ตามด้วยเหรียญทองคำที่ 12% กองทุนทอง (ETF) ที่ 10% ทองคำเก็บในคลังนิรภัยที่ 9% และเครื่องประดับทองคำที่ 9%

อย่างไรก็ตาม พบว่า มีอุปสรรคที่ทำให้นักลงทุนที่สนใจยังลังเลที่จะลงทุนในทองคำเป็นครั้งแรกเกือบ 80% ของนักลงทุนกลุ่มนี้เผยว่า พวกเขายังไม่มีความรู้มากพอที่จะซื้อทองคำ และไม่ทราบถึงช่องทางในการซื้อทองคำที่มีราคาไม่แพง โดยอุปสรรคที่เด่นชัดที่สุดคือ พวกเขาเชื่อว่าทองคำนั้น “มีค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขายทองคำสูงเกินไป”  และเกือบครึ่งหนึ่งกังวลถึงความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ทองคำ โดยมากกว่า 30% ระบุว่ากลัวถูกหลอกให้ซื้อทองคำปลอม จึงเลือกที่จะไม่ซื้อ และกว่า 10% ชี้ว่าตนไม่กล้าซื้อ เพราะยังไม่มีการรับประกันถึงความบริสุทธิ์ของทองคำ ขณะที่มากกว่าหนึ่งในสามของนักลงทุนที่คิดจะลงทุนในทองคำเป็นครั้งแรกคิดว่าตนจะไม่สามารถเก็บทองคำไว้ได้อย่างปลอดภัย โดยนักลงทุนกลุ่มนี้อาจยังไม่ทราบถึงช่องทางและบริการการจัดเก็บทองคำที่มีอยู่

กลุ่มนักลงทุนรายย่อย 4 ประเภทในไทย

การศึกษาวิจัยยังเจาะลึกถึงกลุ่มนักลงทุนรายย่อยสี่ประเภทในประเทศไทย ได้แก่ นักลงทุนที่กล้าเสี่ยงโดยยึดตามคำแนะนำ (Guided Risk Takers) เทรดเดอร์ที่ชอบความผันผวน (Adventurous Traders) นักกลยุทธ์เชิงอไจล์ (Agile Strategists) และนักออมที่ระมัดระวัง (Cautious Savers) โดย 35% เป็นนักลงทุนที่กล้าเสี่ยงโดยยึดตามคำแนะนำ ซึ่งยอมรับความเสี่ยงเพื่อให้สามารถเติบโตได้แบบทวีคูณ และนักลงทุนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยกังวลกับการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความหลากหลาย

ขณะที่  26% เป็นเทรดเดอร์ที่ชอบความผันผวน  ซึ่งต้องการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เห็นผลในระยะสั้น และมักจะชอบเป็นผู้ที่ได้ลองอะไรใหม่ ๆ นักลงทุนกลุ่มนี้มักเป็นนักลงทุนรายแรก ๆ ที่จะเลือกการลงทุนแบบใหม่

ส่วนอีก  26% เป็นนักกลยุทธ์เชิงอไจล์  ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมมากที่สุด โดยพวกเขา กลุ่มนี้มองการลงทุนเป็นงานอดิเรก และมุ่งเน้นที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อปกป้องและเพิ่มความมั่งคั่ง นอกจากนี้ พวกเขายังมักที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ตนเองเข้าใจอย่างชัดเจน และสุดท้าย 13% เป็นนักออมที่ระมัดระวัง โดยจะเลือกลงเงินน้อยที่สุดและไม่ชอบความเสี่ยงสูง พวกเขาจะเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ และสิ่งที่จะมาช่วยลดความเสี่ยง รวมถึงให้ผลตอบแทนที่มั่นคงอันสามารถเก็บเป็นมรดกไว้ให้บุตรหลานของตนได้ อย่างไรก็ดี มากกว่า 80% ของนักลงทุนรายย่อยแต่ละกลุ่มเห็นด้วยว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ดี ซึ่งช่วยสร้างหลักประกันในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองหรือเศรษฐกิจได้

อย่างไรก็ดี ประการสุดท้าย งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ทองคำกว่า 73% ผ่านทางออฟไลน์ แต่เมื่อถามถึงปัจจัยของการเลือกซื้อทองคำแล้ว สาเหตุอันดับต้น ๆ ได้แก่ การขาย/เปลี่ยนทองเป็นเงินสดได้ง่าย ซื้อได้ตลอดเวลา และมีการสร้างผลกำไร ซึ่งผลิตภัณฑ์ทองคำดิจิทัล ไม่ว่าจะให้บริการโดยธนาคารหรือผู้ให้บริการรายอื่น จะช่วยให้ผู้ขายสามารถทำการตลาดและผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อได้อย่างครอบคลุมและราบรื่นยิ่งขึ้น


โดยจากผลการสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แทองคำเป็นการลงทุนที่นิยมมากที่สุดเป็นอันดับสองในพอร์ตการลงทุนของประเทศไทย และกว่าครึ่งหนึ่งของนักลงทุนรายย่อยในประเทศได้ถือครองทองคำในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยการลดความเสี่ยงเป็นปัจจัยหลัก (57%) ที่กระตุ้นให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนในทองคำ นั่นหมายถึงนักลงทุนรายย่อยตระหนักถึงบทบาทของทองคำในฐานะผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีความปลอดภัย ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับบทบาทของทองคำในพอร์ตการลงทุน ที่ถือเป็นเครื่องมือช่วยปกป้องความมั่งคั่ง และยังพบว่าไทยเป็นประเทศที่มีการซื้อทองคำมากที่สุด ขณะที่จีน ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ผลิตทองคำได้มากแต่กลับซื้อในปริมาณที่ต่ำ เพราะตัวเลขการบริโภคทองคำของไทยปีละ 45 ตันต่อปี

Mr. Andrew Naylor ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาค APAC (ไม่รวมประเทศจีน) ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ประเทศไทยมีตลาดทองคำขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายกันอย่างคึกคัก เกือบครึ่งหนึ่งของนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยเลือกที่จะลงทุนในทองคำ และทองคำนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่นิยมเป็นอันดับสองของไทย จากรายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทองคำค้าปลีกในประเทศไทย (Retail Gold Insights : Thailand report) ทำให้เข้าใจถึงอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวัง ความต้องการในการลงทุน และพฤติกรรมการซื้อของนักลงทุนไทย รวมถึงแสดงให้เห็นว่า ทำไมนักลงทุนประเภทต่าง ๆ ในประเทศไทยถึงให้ความสนใจกับทองคำกันอย่างแพร่หลาย โดยสิ่งขับเคลื่อนสำคัญคือบทบาทของทองคำในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่การเมืองหรือเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน

ทั้งนี้ ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการลงทุนมหาศาล อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนที่แข็งแกร่งจากการฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ทั่วโลกและปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระยะยาว จากข้อมูลขอแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความต้องการของนักลงทุนในการถือทองคำในฐานะที่เป็นการลงทุนที่ปลอดภัย แต่ยิ่งไปกว่านั้น ซึ่งสภาทองคำโลก ยังได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งอื่น ๆ ผ่านการศึกษานี้อีกด้วย การวิเคราะห์ของสภาทองคำโลกยังแสดงให้เห็นว่า ทองคำสามารถเป็นเครื่องปกป้องความมั่งคั่ง เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและสามารถช่วยกระจายพอร์ตการลงทุนได้ เราจะเดินหน้าทำการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนในทองคำและวิธีการในการลงทุน

แนะลงทุนผ่านตลาดฟิวเจอร์สเพิ่มกำไร 

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)  
ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (TFEX) เปิดเผยว่า ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยล่าสุดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ พุ่งขึ้นไปที่ 3.0-3.25% นอกจากนี้ เฟดยังส่งสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1.25% ในการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดสิ้นปีนี้อยู่ที่ 4.25-4.50% และสิ้นปีหน้าอยู่ที่ 4.50-4.75% ดังนั้นทิศทางราคาทองคำจึงจะได้รับแรงกดดันจากนโยบายดังกล่าว

อย่างไรก็ดี การส่งสัญญาณแนวโน้มดอกเบี้ยดังกล่าวทำให้นักลงทุนทองคำสามารถปรับรูปแบบการลงทุนให้สอดคล้องกไปทิศทางเดียวกันด้วยการลงทุนผ่านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพราะเป็นการลงทุนที่สามารถทำกำไรได้ทั้งภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง หากนักลงทุนวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและคาดว่าแนวโน้มทิศทางราคาทองคำจะไปในด้านใดสามารถเปิดสถานะการลงทุนได้ทั้งขาขึ้นและขาลง

นอกจากนี้ ข้อดีของการลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สคือใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก ด้วยการวางเงินประกันเพียง 5-10% ของมูลค่าสัญญา โดยวายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สทั้ง TFEX ของไทย และตลาดฟิวเจอร์สต่างประเทศ โดยปัจจุบัน YLG ได้ร่วมมือกับ CME Group เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่เทรดผ่าน YLG futures สามารถเข้าถึงทุกสินค้าของ CME Group ทุกบริการ เช่น Precious Metal futures, Oil futures, Cryptocurrency futures, Forex futures ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งกองทุนสถาบันในการเข้าไปซื้อขายสินค้า พร้อมเชื่อมต่อ Exchange ทั่วทั้งโลกไม่ว่าจะเป็นจีน ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ ทำให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรสามารถจัดการกับความเสี่ยงและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น

ส่วนแนวโน้มความเคลื่อนไหวราคาทองคำในระยะสั้นวายแอลจีมองว่าแม้ว่าระยะสั้นราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากประเด็นดอกเบี้ยขาขึ้น แต่นักลงทุนยังสามารถทำกำไรได้ตามรอบ ในกรอบแนวรับ 1,643-1,624 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวต้าน 1,684-1,703 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนนักลงทุนที่ต้องการถือยาวนั้นสามารถใช้แนวรับ 1,624 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นจุดเข้าซื้อได้ ส่วนราคาทองคำในประเทศนั้นมองว่าจะยังทรงตัวในกรอบ 28,500-30,000 บาทต่อบาททองคำ เนื่องจากสัญญาณค่าเงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยผลกระทบเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยที่ต่างจากสหรัฐฯ มากขึ้น อย่างไรก็ดี แนะจับตาการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 28 ก.ย.นี้

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก 
มองว่า ในสัปดาห์นี้ตลาดทองคำยังถูกกดดันต่อเนื่อง หลังตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังเกิดภาวะถดถอย ขณะที่นักลงทุนยังจับตาประกาศตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีเงินเฟ้อส่วนบุคคล Core PCE ส่วนแนวโน้มการเทขายทองคำของ SPDR ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องดังนั้น ประเมินว่าราคาอาจแกว่งตัวในกรอบแคบ แม้ตลาดรับข่าวร้ายไปแล้วแต่การปรับตัวขึ้นยังทำได้จำกัด ทำให้ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบ 1,620-1,670 $/oz แนะนำซื้อขายตามกรอบที่ให้ไว้

ออสสิริส  
รายงานว่าเมื่อวันจันทร์(26 ก.ย.) ราคาทองคำปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี เนื่องจากแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์แตะที่ระดับ 114.1030 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟด พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี และอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีและ 30 ปี ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อยังสร้างแรงกดดันต่อตลาดทองคำด้วย

โดยมีมุมมองว่าราคาทองคำมีการทำ New Low มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาทองคำ ยังมีภาพแนวโน้มขาลงปรับฐานของราคาอยู่ แต่อย่างไร สัญญาณ RSI เคลื่อนไหวเข้าสู่เขต Oversold โซนแรงขายมากเกินไป จึงมีความเป็นไปได้ว่าราคาอาจจะมีการดีดตัวขึ้นในลักษณะขอการรีบาวนด์ระยะสั้นๆ แต่อย่างไรราคาทองคำจะขยับขึ้นต่อได้จะต้องผ่านแนวต้านกรอบ 1,650 เหรียญให้ได้ หากยังไม่ผ่านมีโอกาสที่จะถูกกดจากแรงขายลงมาอีกครั้ง สำหรับวันนี้ยังคงแนะนำให้ซื้อขายตามกรอบแนวรับต้าน โดยเฉพาะผู้ซื้อไว้หากราคาขยับขึ้นให้ทยอยขายทำกำไร

ห้างทอง แม่ทองสุก 
มองราคาทองคำยังคงปรับตัวลดลงทําจุดตํ่าสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง จากแรงเทขายเข้ามาโดยตลอดจากกองทุนทอง คำ SPDR โดยเมื่อวันก่อนขายออก 3.76 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 943.47 ตัน ภาพรวมตลาดยังเป็นเรื่องของการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินไปสู่การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ได้ผลตอบแทนดี โดยอัตราผลตอบแทนพันบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 4.30% ซึ่งส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ส่งผลให้มีเงินทุนไหลออกจากประเทศไทย ทําให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ยังคงทําจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

ประเมินราคาทองคำ ยังอยู่ในแนวโน้มทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่องจากแรงกดดันของการเทขาย ส่งผลให้ราคาทองคำ เคลื่อนตัวทําจุดตํ่าสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ Gold Online Futures กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเล่นตามกรอบแนวโน้มทิศทางขาลง โดยป้องกันความเสี่ยงท่ามกลางความผันผวนของตลาดให้ดี


กำลังโหลดความคิดเห็น