xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยเดือน ธ.ค.ยังนิ่ง ลุ้นวัคซีนโควิด-19 นโยบายไบเดนหนุน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดัชนีหุ้นไทยเดือนธันวาคมแกว่งแคบแนวโน้มหลุดต่ำกว่า 1,400 จุด ส่วนปี 64 มีโอกาสเห็นดัชนียืนเหนือ 1,500 จุด แนะจับตานโยบาย “โจ ไบเดน” และวัคซีนโควิด-19 อาจหนุนให้กระแสเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าไทย คาดปีหน้าการอุปโภคบริโภคในประเทศน่าจะฟื้นตัวได้ดีกว่าเศรษฐกิจโดยรวม ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การเปิดรับนักธุรกิจ ผู้ป่วย และนักท่องเที่ยวได้หรือไม่ แนะติดตามการประชุมเฟด 15-16 ธ.ค.นี้ และผลกระทบจากการกลับมาระบาดรอบสองของโควิด-19 

อีกเพียงไม่กี่วันก็จะหมดปี 2563 แล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบที่เข้ามากดดันให้ดัชนีฯ ปรับตัวผันผวนอย่างหนัก ซึ่งส่วนใหญ่ปรับตัวอยู่ในแดนลบ เริ่มต้นปี 2563 เศรษฐกิจไทยเปิดศักราชใหม่ปีชวดด้วยความหวังว่าจะกลับมาขยายตัวดีกว่าปีกุน 2562 แต่ภาวะ "VUCAWorld" ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะชะลอตัวและต่ำกว่าระดับศักยภาพต่อเนื่องอีกปี เนื่องจากยังไม่ทันข้ามเดือนแรกของปีก็เกิดเหตุการณ์ช็อกโลก ด้วยการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ   ออกคำสั่งให้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ติดอาวุธเข้าลอบสังหารนายพลกาเซม โซเลมานี ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ของอิหร่าน ขณะกำลังเดินทางออกจากสนามบินในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดจุดชนวนความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในตะวันออกกลางอีกครั้ง

ซ้ำร้ายยังเกิดภาวะการระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มต้นจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ลุกลามกระจายไปแทบทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการจ้างงานจำนวนมาก เพราะแต่ละประเทศจำเป็นที่จะต้องปิดประเทศ หรือแม่แต่การประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อสกัดกั้นการระบาด ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การขนส่ง และโรงแรม ตลอดจนอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในห่วงโซ่อุปทาน ได้รับผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน สถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีอาจฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจและสร้างความกังวลถึงความต่อเนื่องของนโยบายในระยะยาว

SET เดือนธันวาคม แนวโน้มปรับลงหลุดกว่า 1,400 จุด

สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ให้มุมมองว่า SET ในเดือน ธ.ค. มองกรอบการปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัดแคบๆ ที่ประมาณบริเวณ 1,450 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงเดิมที่เคยทำไว้เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งคาดดัชนียังไม่ผ่าน และมีโอกาสเกิดการพักฐาน หลังดัชนีปรับขึ้นมาอย่างร้อนแรง และสะท้อนปัจจัยบวกเรื่องชัยชนะของไบเดน และผลการทดสอบของวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมามากแล้ว ขณะที่มูลค่าตลาดตึงตัว โดยระดับ 1,440-1,450 จุด หากเทียบ P/E เฉลี่ยของ SET ที่ 15 เท่า จะเท่ากับ SET สะท้อนกำไรของตลาดที่ระดับ 96 บาทต่อหุ้น ซึ่งระดับนี้ เป็นช่วงกำไรที่ SET ทำได้ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือก่อนที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ด้วยซ้ำ เท่ากับ SET สะท้อนมูลค่าล่วงหน้าไปค่อนข้างไกลแล้ว

อย่างไรก็ตาม จากผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมา ตลาดตอบรับเชิงบวกต่อผลประกอบการในระดับที่น่าพอใจ ส่งผลให้ภาพรวมกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนใน SET อยู่ที่ 1.47 แสนล้านบาท ลดลง 32% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นการฟื้นตัวไตรมาสติดต่อกัน 2ไตรมาส โดยเป็นแรงหนุนจากการคลายล็อกดาวน์และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ดัชนีมีปฏิกิริยาตอบรับที่ดีต่อความคาดหวังของผลประกอบการมากกว่าที่จะเป็นตัวผลประกอบการเอง โดยกลุ่มที่ผลประกอบการเติบโตโดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญ คือ กลุ่มธุรกิจการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทั้งรายได้และอัตรากำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะกลุ่มที่ผลประกอบการลดลงค่อนข้างมาก คือ สายการบิน รวมไปถึงรับเหมาก่อสร้าง ทั้งนี้ ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนใน SET ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 63 กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท เทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 62 ที่ 6.9 แสนล้านบาท ลดลง 49% จากปีก่อน

“แนวโน้มเดือน ธ.ค. ตลาดหุ้นจะขึ้นไปได้อีกไกลแค่ไหน ขึ้นอยู่กับพัฒนาการเชิงบวกของวัคซีนและผลที่ชัดเจนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วยให้ความเสี่ยง downside ของเศรษฐกิจไทยและตลาดการเงินลดลงอย่างมาก รวมทั้งเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยจำนวนมากเกือบ 4 หมื่นล้านบาท หรือกว่า 1 พันล้านเหรียญ ส่งผลทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแรงกว่า 20% ในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่ง การปรับขึ้นของตลาดที่สะท้อนความคาดหวังว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะกลับสู่สภาวะปกติในครึ่งหลังของปี 2564 จึงทำให้ต้องระวังช่องว่างระหว่างความคาดหวังกับความเป็นจริงหากผิดพลาดไปจากที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ จากสถิติ 5 ปีย้อนหลัง ปรากฏว่าแนวโน้มของ SET ในเดือน ธ.ค. ยังไม่มีทิศทางชัดเจนนักว่าคือเป็นการปรับลด 3 ปี และปรับขึ้น 2 ปี แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าปีที่ปรับขึ้นนั้นดัชนีขึ้นไม่แรงมาก ตรงข้ามกับปีที่ปรับลงนั้น ดัชนีลดลงค่อนข้างแรง ดังนั้น ในเดือน ธ.ค.นี้ คาดว่า upside ของ SET น่าจะจำกัด และมีโอกาสปรับลงมากกว่า”

ลงทุน Q1/64 ระวังช่องว่าง ความคาดหวังกับความเป็นจริง

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจโลกและกิจกรรมทางสังคมที่จะกลับคืนมา เชื่อว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปถ้าวัคซีนได้รับอนุมัติ แต่ ความเชื่อมั่นของประชาชนจะไม่ฟื้นกลับมาได้ในทันที เพราะวัคซีนต้องได้รับการอนุมัติและการจัดจำหน่ายทั่วโลกมีขั้นตอนการดำเนินการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา ดังนั้น ภาคบริการทั่วโลกจะยังคงอ่อนแอ และมีแนวโน้มที่จะเป็นตัวฉุดรั้งให้เศรษฐกิจโลกเติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น จนกว่าวัคซีนจะถูกจัดจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในปี 2565 

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา ประเทศไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วแต่การฟื้นตัวช้าทำให้คาดว่า GDP ปี 2563 ของประเทศไทยจะลดลง 7.8% ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมาเติบโตน้อยกว่า consensus คาดที่ 3.1% ในปี 2564 การอุปโภคบริโภคภายในประเทศน่าจะฟื้นตัวได้ดีกว่าเศรษฐกิจโดยรวม ปัจจัยสำคัญ คือไทยจะสามารถเปิดรับนักธุรกิจ ผู้ป่วย และนักท่องเที่ยวได้หรือไม่

ขณะเดียวกัน ความหวังว่าสามารถผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ แม้ยังไม่มีความแน่นอน ตลาดได้รับแรงหนุนจากข่าวดีเกี่ยวกับความคืบหน้าของวัคซีนโควิด-19 ทำให้โอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำซ้อนหมดไป ความคืบหน้าของวัคซีนจะช่วยเพิ่ม upside ให้แก่การเติบโตในปี 2564 เนื่องจากตลาดเน้นการมองไปข้างหน้า แม้ว่าสภาวะในปัจจุบันยังดูไม่ดีนัก ไตรมาส 4 ปีนี้ และไตรมาสแรกปีหน้าจะเป็นช่วงที่ท้าทายมากต่อเศรษฐกิจ ขณะที่คาดว่าตลาดจะกลับสู่ภาวะปกติและฟื้นตัวแบบ V-shape ในครึ่งหลังปี 2564 ระวังช่องว่างระหว่างความคาดหวังกับความเป็นจริง ตลาดอาจผิดหวังหากนักลงทุนคาดว่ากิจกรรมส่วนใหญ่จะกลับสู่สภาวะปกติในครึ่งหลังของปี 2564 สิ่งที่ทำให้กังวลคือราคาสินทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง และยังต้องใช้เวลาอีกนานก่อนที่กำไรจะฟื้นตัวอย่างแท้จริง อาจส่งผลกระทบด้านลบที่รวมถึงความผันผวนของราคาและแรงเทขายในตลาดหุ้นไทยครึ่งหลังปี 2564

อย่างไรก็ดี สำหรับตลาดหุ้นในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนขั้วของกลุ่มผู้เล่นใหม่ เนื่องจากการฟื้นตัวที่ได้รับการสนับสนุนจากความเสี่ยงด้านนโยบายของสหรัฐฯ ที่ลดน้อยลง และความหวังที่จะเห็นความร่วมมือกันมากขึ้นในยุคโลกาภิวัตน์ ตลอดจนความคืบหน้าของวัคซีนจะช่วยสนับสนุนการพลิกกลับของขั้วการลงทุนไปยังสินทรัพย์เสี่ยงและหุ้นกลุ่มวัฏจักร โดยกลุ่มปิโตรเคมี ธุรกิจการเกษตร พลังงาน พาณิชย์ และอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผลตอบแทนส่วนเกินในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวในระยะเริ่มแรก

“มองเป้า SET Index ในปี 2564 อยู่ที่ 1,450 จุด การคำนวณพบว่า เป้า SET Index ปี 2564 ที่อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,450 จุด หรือมี upside 4% จากระดับปัจจุบัน แทนที่จะเกิดจากการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พบว่าตลาดจะขึ้นไปได้ไกลถึง 1,470-1,500 จุด โดยอิงกับการคาดการณ์ว่าราคาจะวกกลับไปสู่ค่าเฉลี่ย (mean reversion approach)”

ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มในเชิงบวกต่อหุ้นวัฏจักร ที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์ดี เช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ขนส่ง และท่องเที่ยว ในครึ่งแรกของปี 64 ควบคู่ไปกับความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนและความคาดหวังในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หุ้นเชิงรับ เช่น กลุ่มพาณิชย์ และการแพทย์ อาจปรับตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ด้วยประเด็นการเติบโตเฉพาะตัว โดยกลุ่มสื่อ โทรคมนาคม และธนาคาร มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้น้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ซึ่งหุ้นแนะนำคือ HMPRO, IP, MINT, PTTEP และ TOP

“บล.ทรีนีตี้” แนะปรับพอร์ต ธ.ค. เหลือ 5%

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด มองว่า ภาพรวมการลงทุนเดือน ธ.ค.ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี ที่นักลงทุนควรปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลงเหลือ 5% จากเดือนก่อนที่ให้น้ำหนักการลงทุนไว้ 15% และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกเป็น 15% จากที่เดือนก่อนไม่แนะนำ และให้เพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินสดเป็น 40% จาก 35% ส่วนการลงทุนในทองคำและบิตคอยน์ ให้น้ำหนักเท่าเดิมที่ 10% กรณีที่ราคาทองคำลดลงต่ำกว่า 1,800 เหรียญฯ/ออนซ์ แนะนำให้นักลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนอยู่ในทองคำต่ำ เพิ่มทองคำเข้าพอร์ตได้ เพราะเชื่อว่าในภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรแท้จริงยังอยู่ในระดับต่ำนั้น ทองคำยังคงมีความน่าสนใจ และสามารถกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้

“เหตุผลที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยลงเหลือ 5% ต้องยอมรับว่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรงมากในเดือน พ.ย.กว่า 20% นำโดยหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มวัฏจักร ตามความคาดหวังของวัคซีนต้านโควิด-19 เป็นสำคัญ มองว่าเดือน ธ.ค. หุ้นไทยจะชะลอความร้อนแรงลง ประกอบกับการไหลเข้ามาของเงินทุนต่างชาติที่น่าจะเริ่มลดลง จากแพกเกจดูแลค่าเงินบาทของ ธปท. ที่เตรียมออกมา และช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีที่เป็นเทศกาลวันหยุดยาว”

นอกจากนี้ แนวโน้มที่กองทุนขนาดใหญ่ของโลกอาจมีการปรับพอร์ตช่วงปลายปี เพื่อล็อกกำไรจากหุ้น โดยการโยกเงินเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้นแทน หลังจากที่หุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรง ด้วยเหตุนี้ยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนระยะกลางและยาว ประเมินว่าช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า ดัชนีฯ มีโอกาสย่อตัวลงมาซึ่งจะเป็นโอกาสในการเลือกหุ้นเข้าพอร์ตได้ดีกว่า หากประเมินกรอบแนวต้านแรกของดัชนีหุ้นไทยเดือน ธ.ค.ที่ 1,450-1,460 จุด และแนวต้านสำคัญ 1,500 จุด ขณะที่แนวรับแรกประเมินที่ 1,400 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1,330-1,350 จุด จะเป็นแนวรับที่เข้าซื้อหุ้นได้

สำหรับหุ้นแนะนำในเดือน ธ.ค. ควรโฟกัสไปยังหุ้นเติบโตหรือ Growth stock ที่อยู่ในช่วงพักฐาน โดยมองว่าสภาพแวดล้อมต่างๆ ในปัจจุบันยังคงสนับสนุนการปรับตัวของหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงถัดไปได้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ยังคงมีอัตราการเติบโตต่ำหรือติดลบ รวมไปถึงระดับเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำหรือติดลบเช่นกัน มองตัวหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ ได้แก่ KCE และ STGT เป็นต้น

บล.กสิกรไทย แนะจับตาประชุมเฟด

ภาสกร ลินมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ประเมินว่า ดัชนีความผันผวน เช่น VIX ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่นายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการทดลองวัคซีนต้านโควิด-19 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มองว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นตลาดเกิดใหม่ และคาดว่ากลุ่ม Value play จะเป็นกลุ่มขับเคลื่อนดัชนีในรอบนี้ โดยประเมินเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้ไว้ที่ 1,520 จุด

ขณะเดียวกัน มองว่าดัชนี SET ในเดือนธันวาคมมีโอกาสที่จะแกว่งในกรอบ 1,390-1,445 จุด โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม 2 ปัจจัย ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15-16 ธ.ค. ซึ่งตลาดคาดหวังถึงการออกมาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องแก่บริษัท และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกลับมาระบาดรอบสองของโควิด-19 นอกจากนี้ ยังต้องจับตาดูยอดการซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เพื่อประเมินแนวโน้มของนักลงทุนสถาบันเช่นกัน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2564 ยังมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่จะได้ประโยชน์จากสภาวะเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง รวมถึงพัฒนาการด้านวัคซีนต้านโควิด-19 และสภาพการค้าโลกที่ดีขึ้น ขณะที่ราคาทองคำยังเผชิญกับแรงกดดันจากโอกาสที่เส้นโค้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield curve) อาจชันตัวขึ้น และอุปสงค์การลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยที่น้อยลง

จับตานโยบาย “โจ ไบเดน” และวัคซีนโควิด-19

อภิชาต ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นอีก โดยคาดว่านักลงทุนต่างชาติมีโอกาสซื้อสุทธิอีก 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากการศึกษาความเคลื่อนไหวของ SET Index และทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ พบว่า เม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าและไหลออกทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท จะมีผลให้ SET Index เปลี่ยนแปลงขึ้น หรือลงราว 29 จุด เพราะฉะนั้น หากเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตามที่ประเมินไว้ มีโอกาสจะได้เห็น SET Index ที่ระดับ 1,520-1,540 ในช่วงเวลา 2-3 เดือนข้างหน้า

สำหรับช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบ "พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ" เพราะได้รับปัจจัยบวก 2 ประเด็นคือ ประการแรกนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตามที่ประเมินไว้ ซึ่งนโยบายของนายไบเดน คาดจะเป็นผลดีต่อการค้า รวมถึงเศรษฐกิจโลก และประการที่สองคือ ความคืบหน้าของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ใกล้ความจริงมากขึ้น และผลการทดลองมีประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 ได้สูงกว่า 90% โดยหากการคิดค้นวัคซีนสำเร็จจะทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับประโยชน์

"จาก 2 ปัจจัยข้างต้นหนุนให้กระแสเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าไทย และนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบ 16 เดือน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) วิ่งขึ้น 4 สัปดาห์ติดต่อกันตลอดทั้งเดือน พ.ย. และดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นกว่า 200 จุด ทะลุระดับ 1,400 จุดไปได้ ซึ่งดัชนีดังกล่าวดีกว่าที่ บล.ทิสโก้ประเมินไว้ว่าดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,370 จุด" นายอภิชาติกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยยังได้อานิสงส์จากแนวโน้มกระแสเงินทุนไหลเข้า แต่ระหว่างทางมีโอกาสสูงที่จะเกิดการพักฐานในระยะสั้น เนื่องจาก SET Index ณ ปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่บริเวณ 1,410 จุด ส่งผลให้ราคาหุ้นเริ่มแพงเมื่อเทียบกับภูมิภาคอีกครั้ง โดยปัจจุบันหุ้นไทยมีระดับ Fwd. PER ปี 64 สูงกว่า 18 เท่า ขณะที่ Forward PER ของตลาดหุ้นภูมิภาคนี้ (MSCI Asia ex. JP) ที่อยู่ที่ 15.4 เท่า

นอกจากนี้ ทางปัจจัยเทคนิคยังเกิดสัญญาณเชิงลบด้วย ทั้งภาวะ "Overbought" และ "Negative Divergence" เพราะฉะนั้น จึงแนะนำนักลงทุนไม่ควรรีบร้อนไล่ซื้อ แต่ควรรอให้ตลาดปรับฐานลงมาก่อน และต้องเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวมากขึ้น

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในเดือน ธ.ค.นี้ นอกจากจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่แล้ว ควรเลือกหุ้นที่มีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ "Underperform" โดยราคาหุ้นปีนี้ต้องปรับตัวลงมามากกว่า SET Index ที่ปรับลง 10% และปัจจุบันยังขึ้นน้อยอยู่ "Underowned" คือหุ้นที่ต่างชาติลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงมากจากปีที่แล้วและปัจจุบันยังคงถือครองหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีนี้ และ "Undervalued" หุ้นที่ราคาปัจจุบันยังมีโอกาสปรับขึ้นหากเทียบกับมูลค่าที่เหมาะสมที่ บล.ทิสโก้ประเมินไว้

นอกจากนี้ ควรเป็นหุ้นที่คาดจะมีปัจจัยบวกสนับสนุนเฉพาะตัว เช่น BAM, BJC, CPN, SCC และ STEC และ/หรือหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี เช่น KKP, RATCH และ TVO ขณะที่หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. ได้แก่ BAM, BJC, CPN, KKP, RATCH, SCC, STEC และ TVO สำหรับแนวรับ และแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,390-1,400, 1,365-1,370 และ 1,450, 1,480 จุด ตามลำดับนักลงทุนเมิน SSF เหตุสิทธิประโยชน์ที่ไม่จูงใจ

ขณะที่ ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวถึงมุมมองภาพรวมของนักลงทุนที่ผ่านมาในการเข้าซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ว่า จากที่ผ่านมา นักลงทุนเข้าซื้อกองทุน SSF น้อยกว่าที่คาด เนื่องจากให้สิทธิประโยชน์ที่ไม่ค่อยจูงใจผู้ลงทุนมากนัก อาจเป็นเพราะสิทธิประโยชน์ด้านภาษีของกองทุน SSF ถูกนำไปนับรวมกับกองทุน RMF ประกอบกับการกำหนดระยะเวลาการถือครองที่ต้องไม่น้อยกว่า 10 ปี ซึ่งมากกว่ากองทุน LTF แบบเดิม ส่งผลให้คนที่มีศักยภาพในการซื้อกองทุนมองว่าไม่ได้ประโยชน์มากนัก จึงลดการลงทุนหรือเลือกไปลงทุนในรูปแบบอื่นแทน

ดังนั้น จากรายงานข้างต้นจะพบว่าความเห็นของโบรกเกอร์หลายแห่งล้วนมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกันนัก เพราะเดือนธันวาคมทุกปี มักจะมีฤดูกาลบางอย่างที่เกิดขึ้นเสมอ ฉะนั้นนักวิเคราะห์จึงแนะนำให้เน้นเล่นหุ้นอิงปัจจัยฤดูกาล เช่น ฤดูกาลประกาศหุ้นเข้า SET50 แนะนำ BTS, DCC, ROBINS ฤดูกาลเม็ดเงินไหลเข้าจาก LTF และ RMF มากสุดในเดือนนี้ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ ขณะปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามต่อคือปัจจัยการเมืองในประเทศ

 สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS

  ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด

 ภาสกร ลินมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย

 อภิชาต ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้


กำลังโหลดความคิดเห็น