xs
xsm
sm
md
lg

“แสนสิริ” แตะเบรกลงทุนปี 63 เปิดแค่ 18 โครงการ ค่า 2.4 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


วันจักร์ บุรณศิริ
แสนสิริชี้ตลาดอสังฯ ปี 63 ช่วงขาลง แตะเบรกลงทุนโครงการใหม่เปิดแค่ 18 โครงการ มูลค่า 24,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 29,000 ล้านบาท ยอดโอน 33,000 ล้านบาท

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในปี 2563 บริษัทได้วางเป้าหมายพัฒนาโครงการใหม่ 18 โครงการ รวมมูลค่า 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท และทาวน์โฮม และมิกซ์ โปรเจกต์ 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในเซกเมนต์ Medium และ Affordable เป็นหลัก หรือระดับราคา 1.5-5 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่ายในกลยุทธ์ด้านการวางราคาขาย ขณะเดียวกัน ก็ยังคงขยายฐานลูกค้าในเซกเมนต์ Luxury และ Super Luxury ด้วย

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าปี 63 มียอดขาย 29,000 ล้านบาทในปีนี้ เติบโต 40% จากปีก่อนที่มียอดขาย 21,000 ล้านบาท วางเป้าหมายการโอน 33,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 62 ที่มียอดโอน 31,000 ล้านบาท โดยบริษัทยังมียอดขายรอโอน (แบ็กล็อก) 47,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนไปอีก 4 ปีข้างหน้า โดยรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 24,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นของบริษัทร่วมทุน 14,000 ล้านบาท เป็นของแสนสิริ 10,000 ล้านบาท

อุทัย อุทัยแสงสุข
ด้าน นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ชะลอตัวจากปัจจัยลบต่างๆ GDP ต่ำ ซึ่งหากปัญหาไวรัสโควิด-19 กินเวลานานเชื่อว่า GDP จะตกต่ำลงไปอีกมาก เหมือนแล่นเรือท่ามกลางหมอกควัน ถ้าเรามองข้างหน้าไม่ชัดเจน เราก็ไม่ควรขับเรือเร็ว เราควรจะไปแบบช้าๆ เพื่อความปลอดภัย

สำหรับในปีนี้ บริษัทได้วางยุทธศาสตร์ “Made for Life…Made for Everyone”เพื่อสร้างภาพแบรนด์ที่จับต้องง่ายขึ้น และเป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” โดยได้กำหนดกลยุทธ์สำคัญที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกเซกเมนต์ ได้แก่ การเดินหน้ามุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย โฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานด์ ด้วยการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ดีคอนโด, เดอะเบส, สิริ เพลส, อณาสิริ และสราญสิริ รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการไปในย่าน Community ใกล้เมืองในราคาเข้าถึงง่าย เช่น แผนเตรียมเปิดตัว ดีคอนโด รามคำแหง 40 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้มในเดือนพฤษภาคมนี้ รวมถึงพัฒนาโครงการไปในทำเลใหม่ๆ ที่แสนสิริยังไม่เคยพัฒนาโครงการมาก่อน เช่น การบุกทำเลย่านสุวรรณภูมิด้วยสราญสิริ ศรีวารี และการเข้าไปยังทำเลป่าคลอก ภูเก็ต ของแบรนด์อณาสิริ

ส่วนคอนโดมิเนียม แสนสิริมีการเตรียมส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ถึง 8 โครงการ ในปีนี้ ได้แก่ ดีคอนโด ริน เชียงใหม่, ดีคอนโด บลิซ ศรีราชา, เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่, เอ็กซ์ที เอกมัย, เอ็กซ์ที ห้วยขวาง, คาวะ เฮาส์ และลา ฮาบาน่า หัวหิน โดยคอนโดมิเนียมที่พร้อมโอนในปีนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า มียอดขายแล้ว 60% จากมูลค่าโครงการรวม 24,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตในโรงงานพรีคาสต์ เพื่อรองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยจะเปิดตัวโรงงานพรีคาสต์แห่งที่ 3 และ 4 ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตจากโรงงานที่ 1 และ 2 จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 700,000 ตารางเมตรต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 ตารางเมตร เมื่อเต็มกำลังการผลิต รองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยจาก 2,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ยูนิต ได้ในอนาคต

สำหรับผลการดำเนินงานของแสนสิริในปี 62 มียอดขาย 21,000 ล้านบาท ยอดโอน 31,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ที่ 26,300 ล้านบาท และกำไร 2,400 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% โดยเปิดตัวโครงการใหม่ 20 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท จากเป้าหมายในช่วงต้นปีตั้งไว้ที่ 28 โครงการ มูลค่า 46,000 ล้านบาท

นายอุทัย กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มลูกค้าชาวจีน ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าของจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้ยอดขายลดลงไปจากเดิมในปี 61 มียอดขายจากชาวต่างชาติกว่า 10,000 ล้านบาท มาในปี 62 ลดลงเหลือ 3,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นชาวจีน 50% ทำให้บริษัทไม่ได้เน้นการทำตลาดชาวต่างชานิมากนัก แต่ให้ความสำคัญต่อกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยเป็นหลัก เมื่อเกิดไวรัสโควิด-19 จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

"เราโชคดีที่ในปีที่ผ่านมาได้โอนแบ็กล็อกของชาวต่างชาติก้อนใหญ่เกือบหมื่นล้านบาท ทำให้ในปีนี้เหลือแบ็กล็อกที่เป็นของชาวจีนประมาณ 500 ราย มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท จากคอนโดฯ 8 โครงการ ซึ่งจะเริ่มสร้างเสร็จและทยอยโอนในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ และเชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะเก็บเงินดาวน์สูงถึง 30% หากนำกลับมาขายใหม่ก็ยังได้กำไร แต่เชื่อว่าเมื่อสถานการณ์ของจีนดีขึ้นเขาจะกลับมาโอน และกลับมาเที่ยวไทยเหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิมเพราะกำลังซื้อสะสมไว้นาน" นายอุทัย กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น