xs
xsm
sm
md
lg

“ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 260 ล้านหุ้น เล็งเข้าจดทะเบียนใน SET

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


"ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง" ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 260 ล้านหุ้น เล็งเข้าจดทะเบี้ยนใน SET โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อคืนเงินกู้ยืมและเป็นเงินทุนหมุนเวียน

บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 260 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.89% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ โดยแบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 180 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 20% และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ Concord I. Capital Limited จำนวน 80 ล้านหุ้น คิดเป็น 8.89% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายครั้งนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้เพื่อชำระเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์เยลลีพร้อมดื่มและเยลลีคาราจีแนน ภายใต้ตราสินค้าเจเล่ ไดยาโมโตะ คูลลี่ คูล และเมจิกฟาร์ม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มอื่นๆ (Asian Drink) ภายใต้ตราสินค้าเมจิกฟาร์ม เช่น น้ำเฉาก๊วยผสมเนื้อเฉาก๊วย น้ำมะพร้าวผสมวุ้นมะพร้าว และน้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว ภายใต้ตราสินค้ายูซุ

และ 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปลาหมึกอบ ปลาหมึกเส้น และปลาเส้นภายใต้ตราสินค้าเบนโตะ, กลุ่มขนมขึ้นรูปและขนมปังแท่ง ภายใต้ตราสินค้าดอกบัว โลตัส และกลุ่มเวเฟอร์ ขนมปังอบ และขนมขบเคี้ยวอื่นๆ ภายใต้ตราสินค้า ช็อคกี้ เบเกอรี่เฮาส์

บริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ (1) โมเดิร์นเทรด อาทิ ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) เช่น ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ร้านแฟมิลี่มาร์ท เป็นต้น ร้านค้าประเภทซูเปอร์มาร์เกตและไฮเปอร์มาร์เกต ร้านค้าประเภทขายส่ง เช่น แม็คโคร (2) ช่องทางการค้าดั้งเดิม 3 ช่องทางย่อย ได้แก่ ผ่านผู้จัดจำหน่าย (Distributor), การค้าดั้งเดิมแบบค้าส่ง และการค้าดั้งเดิมแบบค้าปลีก (Retail Traditional Trade)

โครงการในอนาคตของบริษัท ได้แก่ โครงการเพิ่มสายการผลิตในประเทศ โดยจะลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ปลาหมึกอบ ปลาหมึกเส้น และปลาเส้น มูลค่าเงินลงทุนรวม 200-300 ล้านบาท คิดเป็นกำลังการผลิต 2,970 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 63-64

โครงการการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายช่องทางการค้าแบบดั้งเดิมด้วยการให้บริษัท เอสเอ็นเอ็นพี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท สิริ โปร จำกัด ในเดือน ม.ค. 62 ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้น 70% โดยสิริ โปร เช่าศูนย์กระจายสินค้า 7 แห่งทั่วประเทศ และคาดว่าจะเช่าเพิ่มจนครบ 12 แห่งภายในปี 62 เพื่อให้เข้าถึงร้านค้าให้ได้มากที่สุด รวมถึงเพิ่มจำนวนหน่วยรถกระจายสินค้าให้ได้ประมาณ 150-160 คันภายในปี 62 เช่นกัน ซึ่งจะทำให้สามารถจำหน่ายสินค้าในร้านค้าปลีกได้ประมาณ 85,000-90,000 ร้านค้า และร้านค้าส่งประมาณ 3,000-3,500 ร้านค้า

นอกจากนั้น บริษัทยังมีโครงการเพิ่มสายการผลิตและจัดจำหน่ายในกัมพูชา ภายใต้บริษัทย่อย ได้แก่ S.C Food Products Ltd. STVV Development Ltd. และ S.C Food Trading Ltd. ณ วันที่ 30 มิ.ย. 62 โรงงานก่อสร้างแล้วเสร็จและได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย มีกำลังการผลิตขนมขาไก่ ประมาณ 275,000 ลังต่อปี ขนมขึ้นรูปและขนมปังแท่ง 200,000 ลังต่อปี คาดว่าจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มภายในปี 62 สำหรับขนมขาไก่ 550,000 ลังต่อปี

อย่างไรก็ดี บริษัทอยู่ในระหว่างการวางแผนและศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มสายการผลิต และ/หรือ ขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตสินค้าในประเทศกัมพูชาเพิ่มเติมในอนาคต โดยใช้พื้นที่ที่ตั้งโรงงานอยู่ในปัจจุบัน

รวมทั้งมีโครงการเพิ่มสายการผลิตและจัดจำหน่ายในเวียดนาม บริษัทอยู่ในระหว่างศึกษาและวางแผนสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวทั้งในเวียดนามและประเทศใกล้เคียง โดยลงทุนผ่าน บริษัท เอสเอ็นเอ็นพี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จัดตั้งบริษัทในนาม S.T. Food Marketing Ltd. ซึ่งบริษัทถือหุ้น 60% ในเดือน ส.ค. 62 S.T. Food Marketing Ltd. ได้เช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามเตรียมก่อสร้างโรงงานในไตรมาส 4/62 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 63

ณ วันที่ 16 พ.ค. 62 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 450,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 900,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท เป็นทุนชำระแล้ว 360,000,000 บาท โดยภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วบริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้วเต็มจำนวน

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ณ วันที่ 19 ส.ค. 62 ประกอบด้วย Concord I. Capital Limited ถือหุ้น 198 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.50% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดการถือหุ้นลงเหลือ 13.11%, บริษัท แอสเซนด์ ไอ. โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 180 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 20%, นายฐากร ชัยสถาพร ถือหุ้น 145 ล้านหุ้น คิดเป็น 20.14% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 16.11%

ผลการดำเนินงานของบริษัทย้อนหลัง 3 ปี คือปี 59-61 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 5,549.1 ล้านบาท, 5,104.1 ล้านบาท และ 4,886.9 ล้านบาท ตามลำดับ สาเหตุหลักที่รายได้ลดลงเกิดจากการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ประกอบกับบริษัทปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าผ่านช่องทางการค้าดั้งเดิม และปรับหน่วยสินค้าของผลิตภัณฑ์ (SKU rationalization) โดยลดการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บางประเภทที่มีกำไรและยอดขายไม่เป็นที่น่าพอใจ หรือสินค้าที่ไม่เป็นที่นิยม

ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทในช่วงปี 59-61 เท่ากับ 353.9 ล้านบาท 301.4 ล้านบาท และ 249.7 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากการลดลงของรายได้ตามที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

ส่วนงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 62 บริษัทมีรายได้รวม 2,291.6 ล้านบาท ลดลง 2.3% จาก 2,344.7 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ส่วนใหญ่เกือบทั้ง 100% ยังมาจากการขาย กำไรสุทธิ 43.4 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 119.1 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 มิ.ย. 62 มีสินทรัพย์รวม 3,803.4 ล้านบาท หนี้สินรวม 3,533.4 ล้าบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 270.0 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้ให้วงเงินสินเชื่อแก่บริษัท เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 62 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อระยะสั้น 540 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อระยะยาว 600 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อหนังสือค้ำประกันสัญญา 15 ล้านบาท โดยมียอดคงค้างของวงเงินสินเชื่อระยะสั้น 275 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อระยะยาว 265.9 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อหนังสือค้ำประกันสัญญา 4.8 ล้านบาท

บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 60% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องและข้อบังคับของบริษัทฯ


กำลังโหลดความคิดเห็น