กสิกรไทยคงเป้าหมายสินเชื่อแีนี้เติบโต 5-7% หวังครึ่งปีหลังเศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่า พร้อมยืนยันยังไม่มีแผนขายหุ้นธุรกิจที่ถืออยู่ในขณะนี้
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)กล่าวว่า ธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อปีนี้เติบโตที่ระดับ 5-7% แม้ว่าครึ่งปีแรกจะเติบโตได้ช้าซึ่งก็เป็นไปตามปกติของธุรกิจธนาคารที่สินเชื่อครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรก ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลแล้วก็น่าจะมีการจัดทำงบประมาณประจำปีได้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ทำให้ธนาคารยังไม่มีการปรับเป้าหมายสินเชื่อ
นอกจากนี้ การเติบโตของสินเชื่อรวมในครึ่งหลังของปีนี้ ยังได้แรงหนุนจากสินเชื่อขนาดใหญ่ที่มีแผนซื้อกิจการ (บิ๊กดีล) เข้ามาช่วยผลักดัน รวมถึงธนาคารพร้อมให้สินเชื่อและหนังสือค้ำประกันกับผู้ประกอบการค่ายมือถือที่จะเข้าไปประมูลคลื่น 5 G เนื่องจากผู้ที่เข้าไปร่วมประมูลเป็นลูกค้าธนาคารอยู่แล้ว และธนาคารเองมองเชิงบวกในธุรกิจดังกล่าวอีกด้วย
ส่วนกลุ่มลูกค้าทีวีดิจิทัลของธนาคารมีทั้งสิ้น 4-5 ราย และได้มีการคืนหนังสือค้ำประกัน 1 ราย หลังจากมีการอนุญาติให้ทีวีดิจิทัลคืนใบอนุญาตได้ ซึ่งธนาคารมองว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนลูกค้าที่เหลืออีกทั้ง 4 ราย ยังคงแข็งแกร่ง มีการชำระหนี้ได้ตามกำหนด และยังคงยืนยันที่จะทำธุรกิจดิจิทัลต่อไป
"ในฐานะที่เป็นธนาคารพาณิชย์สิ่งที่หวังเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามากอยากจะให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินที่ไม่แกว่งเกินไป อัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสม และการมีวินัยทางการเงินและการคลัง ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเดินหน้าได้ยั่งยืน ส่วนเรื่องเงินบาทที่แข็งค่ามากจนกระทบต่อการส่งออกนั้น ก็เรื่องที่ดีที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เริ่มมีการหารือกัน ขณะเดียวกันผู้ ประกอบการก็ต้องหาแนวทางในการป้องกันความเสี่ยงเช่นกัน"
ด้านสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ของธนาคารนั้น ปัจจุบันอยู่ในระดับ 3.44% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่ระดับ 3.34% เนื่องจากธนาคารมีการปรับแผนงานนำเอ็นพีแอลมาบริหารจัดการเองซึ่งจะทำให้มีรายได้ที่ดีกว่าการขายออกไป และคาดว่าสิ้นปีจะบริหารจัดการได้ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 3.7% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเอ็นพีแอลจะสูงขึ้นแต่สำรองของธนาคารอยู่ในระดับที่เพียงพอรองรับอยู่แล้ว
**ยันคงยังถือหุ้นธุรกิจในเครือตามเดิม**
ส่วนแผนงานเกี่ยวกับธุรกิจในเครือของธนาคารนั้น ขณะนี้ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นของบริษัทต่างๆแต่อย่างใด โดยเฉพาะบริษัทที่ทำธุรกิจการเงินไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ ประกันชีวิต บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บริษัทลีสซิ่ง และบริษัทแฟคตอริ่ง ยังมีผลประกอบการที่ดี
"ในขณะนี้ยืนยันได้ว่ายังไม่มีแผนที่จะขายหุ้นที่ถืออยู่ในธุรกิจต่างๆ แต่ในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ต้องพิจารณาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แล้วก็ปรับตัวให้เหมาะสมและอยู่รอดในสถานการณ์นั้นๆ"