xs
xsm
sm
md
lg

อิตัลไทยเผยแผนรุกตลาดเอเชีย ตั้งเป้าปี 62 รายได้ 1.5 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ยุทธชัย จรณะจิตต์
“กลุ่มอิตัลไทย” เสริมแกร่งธุรกิจเพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขัน โอกาสการลงทุน หวังสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมเดินหน้าตามโรดแมปเน้นธุรกิจหลัก อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนัก ธุรกิจรับเหมางานวิศวกรรม และการก่อสร้างแบบครบวงจร รวมถึงกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และไลฟ์สไตล์ รุกขยายตลาดเอเชีย มั่นใจปีหน้าโกยรายได้ 15,000 ล้านบาท

นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอิตัลไทย กล่าวว่า จากข้อมูลวิจัยของกรุงศรี พบว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้างปี 61-63 มีแนวโน้มขยาย 7-9% ต่อปี จากการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจมหภาค ผ่านการลงทุนโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ขณะที่แนวโน้มการท่องเที่ยวปี 61 คาดว่าจะเติบโต 9.6% จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และปัจจัยต่างๆ จะส่งเสริม และทำให้ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนัก และธุรกิจรับเหมาวิศวกรรม และการก่อสร้างแบบครบวงจร รวมถึงกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และไลฟ์สไตล์มีการเติบโตสูงขึ้น

นอกจากปัจจัยบวกภายนอกแล้ว องค์กรเองยังได้ปรับวิสัยทัศน์และพันธกิจของกลุ่มบริษัทฯ ที่มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาคน โดยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งผ่านการสร้างค่านิยมหลักในการทำงาน หรือ “ITALTHAI Core Values” ให้แก่พนักงาน ซึ่งมีด้วยกัน 6 ประการ คือ Listen Speak Share เปิดใจฟัง ตั้งใจพูด พร้อมแบ่งปัน Learn and Grow เรียนรู้เพื่อเติบโต Create an Impact สร้างผลลัพธ์ที่ดี Do What is Right ทำสิ่งที่ถูกต้อง Bring Fun to Work พกพาความสนุกมาทำงาน และ Never Give Up อย่ายอมแพ้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรผ่านการจัดหลักสูตรอบรมในด้านต่างๆ เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางความคิดให้เกิดมุมมองใหม่ที่หลากหลายในการสร้างสรรค์ สินค้า บริการ และประสบการณ์ใหม่ๆ สู่ตลาด รวมถึงสอดคล้องต่อความต้องการและภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้น โดยตัวเลขคาดการณ์การเติบโตรวมในปีนี้อยู่ที่ 17% และคาดการณ์รายได้รวมสิ้นปีอยู่ที่ 13,435 ล้านบาท

ส่วนแผนธุรกิจของกลุ่มอิตัลไทย ในปี 62 ยังคงจะเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคเอเชีย โดยตั้งเป้าว่าจะมีรายได้รวม 15,030 ล้านบาท เติบโตจากปีนี้ 12% โดยการเติบโตดังกล่าวจะมาจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนัก และธุรกิจรับเหมาวิศวกรรม และการก่อสร้างแบบครบวงจร 9,400 ล้านบาท คิดเป็น 63% และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ 5,630 ล้านบาท คิดเป็น 37%

นายสกล เหล่าสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด กล่าวถึงธุรกิจของทางบริษัทฯ ว่า ทางบริษัทฯ ได้มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่อระบบการผลิตและระบบจำหน่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ พลังงานทดแทน งานระบบประกอบอาคารสูง ระบบสาธารณูปโภคในกลุ่มปิโตรเคมี ตลอดจนการสร้างคลังสินค้า และโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การให้บริการของทางบริษัทฯ ครอบคลุมทั้งงานออกแบบทางวิศวกรรม การบริหารโครงการและการก่อสร้าง รวมไปถึงงานบำรุงรักษา นอกจากการดำเนินธุรกิจในประเทศ ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังได้ขยายธุรกิจสู่ประเทศพม่า ภายใต้ชื่อ อิตัลไทยวิศวกรรม (เมียนมาร์) ด้วย ส่วนในเรื่องผลประกอบการของทางบริษัทฯ ในปี 61 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 45% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจำนวน 45 โครงการ คิดเป็นมูลค่างาน 11,000 ล้านบาท และจะสามารถรับรู้รายได้ในปี 61 ประมาณ 5,889 ล้านบาท

สำหรับกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 62 บริษัทฯ มีเป้าหมายสำคัญในการขยายธุรกิจไปในตลาดใหม่ที่เป็น New S-Curve ซึ่งจะเป็นส่วนเพิ่มจากธุรกิจหลักที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ระบบไฟฟ้าและเครื่องกลที่เกี่ยวข้องกับโครงการคมนาคมและการขนส่ง งานก่อสร้างโรงงานและระบบสาธารณูปโภคในส่วนของนิคมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงการ EEC การก่อสร้างคลังสินค้าแบบอัตโนมัติ (Automated Warehouse) รวมถึงงานที่เกี่ยวข้องกับ Smart Solution ต่างๆ นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังมีแผนการขยายธุรกิจ และการลงทุนเพิ่มเติมไปยังประเทศกัมพูชา และ สปป.ลาว ทางบริษัทฯ คาดการณ์ว่าในปี 62 จะมียอดการรับรู้รายได้ที่ 6,100 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้รายได้เติบโต 5%
 ผู้บริหารกลุ่มอิตัลไทย
นายอดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด กล่าวถึงธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักของบริษัทฯ ในฐานะตัวแทนจัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายเครื่องจักรกลหนักจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เช่น แบรนด์ “วอลโว่ ซีอี (Volvo Construction Equipment) แบรนด์ชั้นนำ Top 5 ของโลกจากประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นเครื่องจักรกลหนักสำหรับงานอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมถึงงานโรงโม่ และเหมืองแร่ที่มีประสิทธิภาพ ทนทาน และประหยัดน้ำมันสูง โดยบริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศไทย และ สปป.ลาว มากว่า 40 ปี รวมถึงแบรนด์ “ทาดาโน่” (TADANO) ผู้นำอันดับ 1 ด้านเครนคุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในเรื่องของคุณภาพ ประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยี และความปลอดภัย

ทั้งนี้ บริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายรถเครนของทาดาโน่ อย่างเป็นทางการมากว่า 30 ปี ในประเทศไทย และ สปป.ลาว โดยทั้ง 2 แบรนด์ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการทำการตลาดของบริษัทฯ ซึ่งรองรับกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท ได้แก่ กลุ่มงานเหมือง และโรงโม่หิน ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำสำหรับงานก่อสร้างตึกอาคาร และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่ต้องใช้เครื่องจักรคุณภาพสูง และกลุ่มงานถนน ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคม และกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์เพิ่มยอดขายในกลุ่มงานถนนมากขึ้น

เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่และเปิดกว้างในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และสอดรับต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยได้มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “พาวเวอร์ เคิร์บเบอร์ แอนด์ พาวเวอร์ เพฟเวอร์” รถปูคอนกรีต นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สามารถรองรับงานก่อสร้างถนนคอนกรีต ตั้งแต่ระดับทางหลวงชนบทจนถึงซูเปอร์ไฮเวย์ เพื่อเพิ่มพอร์ตโฟลิโอเครื่องจักรกลหนักให้มีความหลากหลาย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น รถปูยางมะตอย วอลโว่ เอบีจี (Volvo ABG) รถบด รถเกรด ที่พร้อมรองรับงานถนนอย่างครบครัน

โดยในปี 62 บริษัทฯ ตั้งเป้ามีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 22% และตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 3,300 ล้านบาท โดยยังคงให้ความสำคัญต่อการเป็น “Solution Provider” โดยให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเน้น “การให้บริการที่เป็นเลิศ” (Service Excellence) เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยบริษัทฯ จัดให้มีการฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ สามารถให้คำปรึกษา คัดเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะแก่ลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มงานเหมือง และโรงโม่ บริษัทฯ ได้นำเอาโปรแกรมประเมินและวางแผนการทำงานของหน้าเหมือง (Site Simulation) เพื่อวิเคราะห์อย่างครบวงจร

โดยคัดเลือกเครื่องจักรให้เหมาะสม เพื่อช่วยลดเวลา ต้นทุนทางการเงิน และเกิดความคุ้มค่าในการลงทุนซื้อเครื่องจักรมากที่สุด นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มศูนย์บริการอีก 2 แห่งในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวน 14 แห่ง ครอบคลุมทั่วไทย และ สปป.ลาว ส่วนการคัดสรรเครื่องจักรกลหนักเข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติมเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าหลักในปีหน้า บริษัทฯ ได้เพิ่ม วอลโว่ ลิจิด ฮอล์เลอร์ (Volvo Rigid Haulers) รถขนส่งลำเลียงวัสดุประเภทหิน ถ่านหิน หินปูนขนาดใหญ่ ที่มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 40 ตัน จนถึง 100 ตัน และเอพิร็อก (EPIROC) เครื่องเจาะคุณภาพสำหรับงานเหมือง โรงโม่ และงานก่อสร้างแบบหัวกระแทก

นางจารุวรรณ สัจจาวุธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยฮอสพิทาลิตี้ จำกัด กล่าวถึงกลุ่มธุรกิจบริการอาหารและเครื่องดื่ม ว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 62 บริษัทฯ แบ่งออกเป็น 4 เรื่องหลัก ประกอบด้วย 1.การขยายพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจไวน์ โดยเน้นเพิ่มในส่วนของไวน์พรีเมียมให้มากขึ้น 2.การทำธุรกิจจัดเลี้ยง โดยเน้นการให้บริการในรูปแบบ Boutique Catering Service สำหรับงานอีเวนต์ 3.การขยายธุรกิจเบเกอรี โดยมุ่งเป้าไปที่ตลาดธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร ซึ่งได้เตรียมสร้างโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และ 4.การขยายธุรกิจซักรีด ซึ่งจะเน้นให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ และพัทยา ทั้งนี้ คาดว่าในปี 62 จะมีรายได้รวม 360 ล้านบาท หรือเติบโต 20%

นายดักลาส มาร์เทล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า แผนการธุรกิจปี 62 ออนิกซ์ฯ ยังเดินหน้าขยายเครือข่ายโรงแรมในไทย และต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะมีเครือข่ายเปิดให้บริการ 99 แห่ง ภายในปี 67 โดยปีหน้ามีแผนจะเปิดโรงแรมอมารี พัทยา ซึ่งได้ผ่านการปรับโฉมและยกระดับการให้บริการ มีกำหนดเปิดให้บริการช่วงไตรมาสแรกปี 62 นอกจากนี้ ออนิกซ์ฯ ยังมีแผนเปิดให้บริการโอโซ่ พัทยา ในพื้นที่ติดกัน ภายในปี 63 ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาโรงแรมที่บริษัทฯ ถือครองเอง โดยใช้งบลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท การปรับโฉมอมารี พัทยา

นอกจากนี้ ในปี 62 ออนิกซ์ฯ ยังมีแผนขยายเครือข่ายโรงแรมใหม่ภายใต้ แบรนด์ โอโซ่ ซึ่งรวมถึงการกำหนดเปิดให้บริการโอโซ่ ภูเก็ต และโอโซ่ ปีนัง (มาเลเซีย) ตามมาด้วยการเปิดให้บริการโอโซ่ พัทยา โอโซ่ เมดินี (มาเลเซีย) และโอโซ่ มัลดีฟส์ ในปี 63 อีกทั้งยังได้เดินหน้าสรรหาพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อเจาะกลุ่มตลาดภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ไชน่า ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน ออนิกซ์ฯ มีโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในเครือที่เปิดให้บริการในกลุ่มตลาดดังกล่าวทั้งหมด 14 แห่ง และเพื่อรองรับการขยายเครือข่ายทางธุรกิจในตลาดดังกล่าว ออนิกซ์ฯ จึงได้จัดตั้งสำนักงานประจำกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ไชน่า ณ เมืองเซี่ยงไฮ้

ปัจจุบัน ออนิกซ์ฯ มีสัดส่วนจำนวนโรงแรมในเครือที่เปิดให้บริการในประเทศไทย และต่างประเทศ อยู่ที่ 50:50 ขณะที่สัดส่วนรายได้ปัจจุบันของโรงแรมในเครือออนิกซ์ฯ ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย และต่างประเทศ คิดเป็น 60:40 โดยมีกลุ่มลูกค้าหลัก 5 อันดับแรก มาจากทั้งตลาดไทย และตลาดต่างชาติ ได้แก่ จีน อินเดีย สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย และคาดการณ์ว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของโรงแรมในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย และต่างประเทศ จะเปลี่ยนเป็น 55:45

ปัจจุบัน ออนิกซ์ฯ มีโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในเครือฯ ที่เปิดให้บริการแล้ว 50 แห่ง ประกอบด้วย ห้องพักจำนวนกว่า 7,000 ห้อง ใน 8 ประเทศ (รวมถึงเขตปกครองพิเศษ) ได้แก่ ประเทศไทย จีน มาเลเซีย ศรีลังกา มัลดีฟส์, กาตาร์ สปป.ลาว และบังกลาเทศ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 30 แห่ง ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก


กำลังโหลดความคิดเห็น