xs
xsm
sm
md
lg

เมืองไทย แคปปิตอล เฮ! MSCI ดึงเข้าคำนวณดัชนีรอบใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองไทย แคปปิตอล ยกระดับสู่สากล หลัง MSCI นำหุ้นเข้าคำนวณดัชนี Global Standard Indices อ้างอิงการลงทุนครั้งแรก ผู้บริหาร ชี้เป็นสัญญาณที่ดี คาดสถาบันจะให้ความสนใจเพิ่มน้ำหนักลงทุน เชื่อหุ้นจะมีเสถียรภาพมากขึ้น มั่นใจไตรมาส 4 เป็นช่วงฤดูไฮซีซันช่วยหนุนให้ผลประกอบการปีนี้ทุบนิวไฮต่อเนื่อง

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า การที่หุ้น MTC ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI รอบใหม่ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากคาดว่านักลงทุนสถาบันจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ที่มีนโยบายใช้ดัชนีดังกล่าวเป็นตัวอ้างอิงในการเข้าลงทุนหุ้นทั่วโลก ดังนั้น หุ้น MTC จึงจะเข้าไปอยู่ในความสนใจของต่างชาติมากขึ้นอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI หรือ MSCI Index เป็นดัชนีอ้างอิงที่บริษัท Morgan Stanley Capital International จัดทำขึ้นมา เพื่อให้ผู้ลงทุนสถาบันที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ได้นำมาใช้เป็นมาตรฐานในการวัดผลตอบแทน โดยใช้ข้อมูล, การวิเคราะห์ Models, และรายงานต่างๆ ประกอบ

“การเข้าคำนวณหุ้นของ MTC ในครั้งนี้ จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการยกระดับสู่สากลมากขึ้น เพราะกองทุนต่างชาติส่วนใหญ่จะเห็นความสำคัญ และมีการลงทุนหุ้นที่อยู่ในดัชนี MSCI อยู่แล้ว ดังนั้น เราจะอยู่ในโฟกัสของกองทุนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทมีเสถียรภาพมากขึ้นด้วย” นายชูชาติ กล่าว

ขณะเดียวกัน ภาพรวมของการดำเนินธุรกิจของ MTC จะเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาส 4/61 ซึ่งจะเป็นฤดูกาลคึกคักของธุรกิจ และส่งผลให้มีการเติบโตสูงในรอบปี รวมทั้งกำลังซื้อของประชาชนเริ่มฟื้นตัวดี ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้ง เป็นช่วงเทศกาลทั้งออกพรรษา ลอยกระทง และเทศกาลปีใหม่ ดังนั้น ทำให้มั่นใจว่า ผลประกอบการจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ และยังคงทุบสถิตินิวไฮได้อีกหนึ่งไตรมาส

สำหรับภาพผลประกอบการในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ กำไรสุทธิ และยอดปล่อยสินเชื่อใหม่จะเติบโต 40% ซึ่งเป็นผลจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปีนี้ คาดว่าจะมีสาขารวมทั้งสิ้น 3,300 สาขา จากปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 3,200 สาขา

สำหรับในปี 2562 บริษัทตั้งเป้าจะเปิดอีก 600 สาขาเพิ่มเป็น 3,900 สาขา และแตะ 4,500 สาขาในปี 2563 ซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินธุรกิจ 3 ปีที่บริษัทได้วางไว้ ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้บริษัทจะคุมไม่ให้เกิน 1.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.27% กรณีใบอนุญาตการการดำเนินธุรกิจจำนำทะเบียน ภายใต้การกำกับการดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่า เกณฑ์ดังกล่าวจะออกมาในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ และเชื่อว่าจะเป็นโอกาสให้กับบริษัทเติบโตในธุรกิจจำนำทะเบียน ภายใต้ใบประกอบธุรกิจ P-Loan หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งบริษัทมีใบประกอบกิจการเดิมอยู่แล้ว และในอนาคตจะทำให้สัดส่วนการปล่อยสินเชื่อประเภท P-loan มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีกมาก


กำลังโหลดความคิดเห็น