xs
xsm
sm
md
lg

จับตาเกมคุมสินเชื่อบ้านหลังสอง กระตุ้น Q4 แต่คอนโดฯ กระอัก! ปีหน้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการรายวัน 360 องศา - ภาพรวมแบงก์ชาติคุมเข้มปล่อยกู้บ้านหลังที่สอง คาดระยะสั้นช่วงผลักดันผลประกอบการกลุ่มอสังหาฯ เหตุเร่งปิดยอดขาย-โอนผลักดันผลดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายพุ่ง ส่วนระยะยาวกลุ่มคอนโดมิเนียม กระทบมากสุด โดยเฉพาะการเก็งกำไรในตลาดระดับกลาง-ล่าง เปิดทางต่างชาติเข้าซื้อมากขึ้น ขณะที่บ้านระดับบนมากกว่า 10 ล้านบาท ได้รับผลกระทบน้อย เหตุผู้ซื้อฐานการเงินมั่นคง อีกทั้งการวางเงินดาวน์อยู่ในเกณฑ์ก่อนแล้ว

ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี หลายอุตสาหกรรมกำลังอยู่ในช่วงเร่งยอดขาย-รายได้ หรือเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ แต่สำหรับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ทันทีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการใหม่ เรียกได้ว่ากลายเป็นสัญญาณลบที่กดดันการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มนี้ทันที นั่นคือกรณีที่ ธปท.จะออกมาตรการแมคโครพรูเด็นเชียล (MacroPrudential) กำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เฉพาะการขอกู้ใหม่และการรีไฟแนนซ์ ซึ่งจะไม่มีผลย้อนหลัง เหตุเพราะพบว่ามีการแข่งขันปล่อยสินเชื่อ และทำให้มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อหย่อนยาน เช่น ไม่จำเป็นต้องมีเงินดาวน์ มีการให้สินเชื่อเงินทอน หรือให้กู้มากกว่าเงินซื้อจริงเพื่อนำไปใช้การบริโภคอื่นๆ ทำให้มีหนี้สินเกินตัว รวมถึงขยายเวลาการผ่อนนาน ให้สินเชื่อเพิ่มเติมจนเงินกู้มากกว่าหลักประกันเกิน 100% รวมทั้งมีการให้สินเชื่อต่อรายได้ผู้กู้ (LTV) สูงถึง 6-7 เท่าจากมาตรฐานราว 4.5 เท่า และพบว่ามีการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น เป็นการซื้อบ้านหลังที่สองเพื่อลงทุน ไม่ได้อยู่อาศัยจริง ซึ่งขณะนี้ ธปท.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์ และจะมีการประชุมชี้แจง และรับฟังความคิดเห็นจากสถาบันการเงิน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และคาดว่าจะออกประกาศในเดือนพฤศจิกายน ก่อนจะมีผลบังคับใช้ตามกำหนด

โดยเกณฑ์ดังกล่าว ธปท.จะกำหนดเกณฑ์การซื้อบ้านสัญญาที่ 2 ขึ้นไป หรือการซื้อบ้านที่ราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ให้ LTV รวมกับสินเชื่อเพิ่มเติมทั้งหมด เช่น สินเชื่อบุคคลเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ และตกแต่งบ้าน สินเชื่อจ่ายเบี้ยประกันชีวิต เป็นต้น ไม่เกินระดับ 80% หรือจะต้องมีเงินดาวน์ 20% เพื่อป้องกันการเก็งกำไร หลังพบว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2561 พบว่ามีการทำสัญญามากกว่า 2 สัญญา เพิ่มขึ้นกว่า 20%

นอกจากนี้ พบว่า กลุ่มผู้กู้จากเดิมที่รายได้เฉลี่ย 1.2 แสนบาทต่อเดือน ลดลงมาเป็น 8 หมื่นบาทต่อเดือนซึ่งกังวลว่าจะมีผลต่อการผ่อนชำระ หลังพบว่าผู้กู้ที่มี 2 สัญญาขึ้นไปมีแนวโน้มคุณภาพสินเชื่อแย่ลงโดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.4% จาก 2.5% ในปี 2558

ส่วนการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2560 มีมูลค่าราว 3 แสนล้านบาท หรือราว 1 แสนสัญญา จำนวนนี้คาดว่าจะมีการเก็งกำไรราว 15% หรือ 1.5 หมื่นสัญญาเป็นสัญญาที่กู้เป็นสัญญาที่สอง และราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท หากจะมีผลกระทบอาจจะกระทบผู้กู้กลุ่มนี้ ส่วนผู้ที่กู้บ้านหลังแรก หรือสัญญาแรก ราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท จะไม่ได้รับผลกระทบ โดย ธปท.ยังคงเกณฑ์ LTV เดิมที่บ้านแนวราบที่ 95% และคอนโดมิเนียมที่ 90% กรณีที่มีการให้สินเชื่อเพิ่มเติมต้องไม่เกิน 100% ของหลักประกัน

ผู้บริหาร ธปท.แสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวว่า มาตรการที่ออกมาไม่ได้แตะเบรกตลาดอสังหาฯ ของประเทศแค่ผ่อนคันเร่งของภาคอสังหาริมทรัพย์ลง เพื่อลดการเก็งกำไรในบ้านหลังที่สอง เป็นการป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา เกิดจากการสะสมความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมาตรการนี้เป็นมาตรการเชิงป้องกัน เพื่อสร้างมาตรฐานในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ผู้กู้มีเงินออมก่อนกู้ และไม่กู้เกินความจำเป็น ประเมินว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม

ระยะยาวส่งผลดีต่ออุตสาหกรรม

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว “ทริสเรทติ้ง” มองว่า แนวนโยบาย MacroPrudential สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เสนอโดย ธปท. ซึ่งต้องการปรับปรุงมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และลดพฤติกรรมการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ น่าจะส่งผลดีต่อผู้ซื้อบ้าน รวมไปถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และธนาคารในระยะยาว แต่อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้น

เพราะภายใต้แนวนโยบายใหม่ ธปท.จะใช้การกำหนด LTV Ratio ในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแทนการใช้เกณฑ์ค่าน้ำหนักความเสี่ยง โดยในการคำนวณค่า LTV Ratio จะนับรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเพิ่มเติมทุกประเภทที่อ้างอิงหลักประกันเดียวกัน แต่เกณฑ์ LTV Ratio สำหรับการกู้บ้านหลังแรกยังคงเท่าเดิม ขณะที่เกณฑ์ดังกล่าวจะลดลงเหลือเพียง 80% สำหรับการทำสัญญาเงินกู้เพื่อซื้อบ้านหลังที่สองและหลังต่อๆ ไปของผู้กู้รายเดิม โดยเกณฑ์ดังกล่าวจะเท่ากับผู้กู้เงินซื้อบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เพราะโดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบการจะเก็บเงินดาวน์ประมาณ 10-15% สำหรับบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ดังนั้น หากมีการปรับลด LTV Ratio ลงเหลือเพียง 80% ผู้ซื้อบ้านก็จะต้องจ่ายเงินดาวน์เพิ่มขึ้นอีก 5-10%

ขณะเดียวกัน จากข้อมูลของผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก “ทริสเรทติ้ง” จำนวน 21 รายพบว่า ที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อหลัง มีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 90%-95% ของจำนวนที่อยู่อาศัยเพื่อขายทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 75-80% ในเชิงของมูลค่า ขณะที่ข้อมูลของ ธปท. สำหรับสินเชื่อบ้านที่ปล่อยใหม่พบว่า จำนวนสัญญาสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ที่ใช้ในการซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่สอง และหลังต่อๆ ไป มีสัดส่วนประมาณ 20%

ดังนั้น หาก 70% ของผู้ซื้อบ้านเป็นผู้กู้เงินจากธนาคารผู้ที่กู้เงินเพื่อซื้อบ้านหลังที่สองที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทลงมา น่าจะเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของผู้ซื้อบ้านทั้งหมด ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการดังกล่าว และมีผลกระทบในเชิงมูลค่าจะอยู่ที่ประมาณ 10%-12% ของยอดขาย

กลุ่มคอนโดฯ ได้รับกระทบมากที่สุด

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจคอนโดมิเนียมน่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนใน 1-2 ปีข้างหน้า น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าวอาจมีปัญหาเรื่องการโอนล่าช้า เนื่องจากผู้ซื้อโดยเฉพาะผู้ซื้อภายในประเทศอาจมีความยุ่งยากในการขอสินเชื่อ และความล่าช้าในการโอนจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการรับรู้รายได้ของผู้ประกอบการใน 1-2 ปีข้างหน้า

จากมาตรการดังกล่าว คาดว่าผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะหันไปเน้นขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อที่เป็นชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบัน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงให้ผู้ซื้อต่างชาติวางเงินมัดจำมากกว่า 20% ของราคาที่อยู่อาศัย ซึ่งความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนต่างชาติ อาจผลักดันให้ราคาคอนโดมิเนียมปรับเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจภายในประเทศของไทย ภาวะดังกล่าวอาจทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยในเขตใจกลางเมืองของผู้ซื้อภายในประเทศลดลง

ระยะสั้นกระตุ้นยอดขาย Q4

บล. ฟินันเซีย ไซรัส วิเคราะห์หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ต่อกรณีดังกล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวส่งผลลบต่อกลุ่มอสังหาฯ เป็นวงกว้าง แต่ไม่ได้รุนแรงอย่างที่ตลาดคาดไว้ว่าต้องวาง Down Payment อย่างน้อย 25-30% จากเดิม 10-15% โดยมาตรการเน้นควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่ปัจจุบันมีการปล่อยเกินระดับที่กำหนดไว้ พบว่า จำนวนหน่วยที่มี LTV เกิน 100% คิดเป็นสัดส่วนถึง 1.3% ของหน่วยทั้งหมด ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ จะนำไปสู่ปัญหาของหนี้เสีย (NPL) ในอนาคต บวกกับต้องการลดความร้อนแรงของการเก็งกำไร หรือ Search for Yield ซึ่งเกิดมากในบ้านหลังที่สอง หรือตลาดคอนโด

ดังนั้น ผลกระทบในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าจะเห็นการเร่งขายและโอนของผู้ประกอบการไปพร้อมกับการเร่งตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคก่อนมาตรการจะมีผลบังคับ และการปรับขึ้นของดอกเบี้ย ขณะที่ปี 2562 คาดได้รับผลกระทบลบในแง่ของการระบายสต๊อกที่ช้าลง และความเสี่ยงต่อยอดโอนที่อาจไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ ซึ่งจะทำให้มี Downside ต่อประมาณการกำไรของกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้ประกอบการจะมีการปรับตัวทั้งแผนการเปิดโครงการใหม่ และกลยุทธ์การขาย เพื่อรับกับมาตรการของ ธปท.ในระยะถัดไป

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนรายได้จากคอนโดสูงอย่าง ORI LPN และ ANAN ซึ่งลูกค้ากว่า 20% ของการซื้อคอนโดเพื่อการเก็งกำไร ส่วนกลุ่มที่ขายราคามากกว่า 10 ล้านบาท คาดว่าได้รับผลกระทบจำกัด เนื่องจากลูกค้ามีกำลังซื้อ รวมถึงเดิมกำหนดให้วาง Down Payment ที่ 15-20% อยู่แล้ว และมีลูกค้าบางส่วนจ่ายเป็นเงินสด

ขณะที่ผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงต่ำต่อมาตรการดังกล่าวจะเป็นผู้ที่เน้นโครงการแนวราบอย่าง LH และ QH ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากแนวราบ 80-85% และเป็นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง บวกกับมีระยะเวลาระหว่างการซื้อและโอนที่สั้นเพียง 1-3 เดือน เทียบกับคอนโดที่ 1-3 ปี

LH/QH/AP แกร่งหากราคาลงน่าสะสม

ด้าน บล. ทรีนิตี้ แสดงความเห็นว่า การปรับเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์โดยตรง โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มแนวสูง (คอนโด) เนื่องจากผู้ซื้อส่วนมากจะซื้อเพื่อการลงทุนหรือเป็นที่อยู่อาศัยแห่งที่สอง และมีการพึ่งสินเชื่อเป็นหลัก เช่น ANAN และ LPN ส่วนทางด้านผู้ประกอบการที่ขายโครงการระดับสูงที่มีราคาเกิน 10 ล้านบาท มักมีกลุ่มลูกค้าที่มีฐานะทางการเงินดี สัดส่วนการซื้อที่อยู่อาศัยของคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะซื้อด้วยเงินสด จึงมองว่าจะมีผลกระทบค่อนข้างจำกัดต่อ Developer อย่างเช่น LH ซึ่งยังคงเป็น Top pick ของกลุ่ม ควบคู่ไปกับ QH ซึ่งไม่น่าได้รับผลกระทบมากเนื่องจากฐานรายได้มาจากแนวราบเป็นหลัก และสัดส่วนหลักราคาขายอยู่ที่ 3-7 ล้านบาท รวมถึง AP ซึ่งถึงแม้จะมีโครงการแนวสูงพอประมาณ แต่ก็มีสัดส่วนยอดขายที่มาจากชาวต่างชาติที่ซื้อด้วยเงินสดพอสมควร จึงน่าจะได้รับผลกระทบจำกัด ดังนั้น หากราคาหุ้นทั้ง 3 บริษัทปรับตัวลงเพราะปัจจัยข่าวนี้ มองเป็นโอกาสในการเข้าสะสม เนื่องจากมีระดับ Dividend yield ที่น่าสนใจ

หุ้นอสังหาฯ ปันผลสูงยังน่าลงทุน

ด้าน บล. เอเซีย พลัส มีความเห็นว่าให้น้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยเท่าตลาด เพราะมองว่าเกณฑ์ใหม่ ธปท.จะส่งผลกระทบจำกัด เพราะส่วนใหญ่กำหนดเงินดาวน์ 15-20% กันอยู่แล้ว แต่ในทางกลับกัน อาจจะเกิดปรากฏการณ์เร่งโอนในช่วงที่เหลือของปีหรือไตรมาส 4 มากขึ้น เพราะเกณฑ์ใหม่นี้จะใช้วันที่ 1 ม.ค.2562 หากเป็นอย่างนี้จะทำให้ผลดำเนินงานของกลุ่มที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 4 จะออกมาดีมาก ทั้งนี้ เพราะจากเดิมประเมินว่า ในไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของกลุ่มอสังหาฯ และจะเป็นช่วงที่กลุ่มนี้จะมีรายได้ที่เติบโตมาก ดังนั้น เมื่อมีปัจจัยนี้เข้ามาก็จะทำให้การคาดการณ์เป็นจริงยิ่งขึ้น

แต่หากดูตัวเลขสินค้าในมือที่รอโอนประเภทต่างๆ ของผู้ประกอบการ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.2561 รวมอยู่ที่ 3.32 แสนล้านบาท โดยเฉพาะส่วนที่รอรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 จะอยู่ที่ 1.16 แสนล้านบาท แต่หลังจากนี้ ผู้ประกอบการที่มีโอกาสได้รับผลกระทบ คือ กลุ่มคอนโดมิเนียม ที่จัดเก็บเงินดาวน์ต่ำกว่า 20% ซึ่งส่วนใหญ่เจาะตลาดกลาง และล่าง และจะเห็นการปรับตัวโดยการให้มีระยะเวลาผ่อนดาวน์นานขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้อาจได้เห็นการเปิดขายโครงการก่อนจากเดิมที่จะเตรียมพร้อมทุกอย่างถึงจะขาย ส่วนบ้านแนวราบ จะปรับเข้าสู่บ้านรับสร้างหรือขายบ้านระหว่างสร้าง ดังนั้นการลงทุนหุ้นกลุ่มนี้แนะนำลงทุนหุ้นที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูง LH QH และ SC

อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวอาจมีการเลื่อนออกไป หรืออาจไม่สามารถประกาศใช้ได้ เนื่องกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และภาคธนาคารพาณิชย์ มองว่า หาก ธปท. ยังคงกำหนดการใช้มาตรการดังกล่าวตามเดิมจะเป็นการเลือกวิธีที่ใช้ยาแรง และจะส่งผลกระทบช็อกตลาด จนทำให้ผู้บริโภครายย่อยทิ้งเงินดาวน์ หรือทิ้งการโอน หรือผู้ประกอบการหาทางออกไม่ทันในการพัฒนาธุรกิจ จึงเสนอทางเลือกให้ลดอัตราการวางเงินดาวน์ระดับต่ำประมาณ 11-15% เพราะการใช้ยาแรงเป็นต้นเหตุสำคัญในการหยุดการเจริญของภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตร้อนแรง ดังนั้น หากใช้มาตรการเข้มงวดกับอุตสาหกรรมนี้ จะเท่ากับหยุดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามเป้าหมายได้ทันที

จึงทำให้มีข้อเสนอจากภาคเอกชนต่อกรณีดังกล่าวว่า ให้ปรับขึ้นเงินดาวน์ 20% แบบเป็นขั้นบันได รวมถึงการยืดระยะเวลาออกไปประมาณ 6-12 เดือน เพราะธุรกิจอสังหาฯ ประเภทคอนโดมิเนียม จะขายล่วงหน้าเป็นเวลา 1 ปีครึ่งถึง 2 ปี และผ่อนผันชำระเงินดาวน์มาเป็นระยะ ไม่สามารถหาเงินดาวน์ได้เพิ่มอีกเท่าตัวภายในเวลาไม่กี่เดือนเพื่อหาเงินมาเพิ่มอีกเท่าตัว


กำลังโหลดความคิดเห็น