xs
xsm
sm
md
lg

“เพซ” ยันผ่านวิกฤตการเงิน เล็งลงทุนใหม่ต้นปี 62

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

สรพจน์ เตชะไกรศรี
“เพซ” ยันผ่านพ้นวิกฤตหลังประสบปัญหาการเงิน เผยตัดขายทรัพย์สินใช้หนี้กว่าหมื่นล้าน เล็งลงใหม่ต้นปี 62 พร้อมเดินหน้าสร้าง 3 โครงการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/62 หวังทยอยโอนแบ็กล็อก 10,417 ล้านบาท ภายในปลายปี

นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE เปิดเผยถึงสถานการณ์ของบริษัทว่า ปัจจุบัน บริษัทผ่านพ้นจุดที่น่าเป็นห่วงไปมากแล้ว จากการขายทรัพย์สินขนาดใหญ่ไปหลายชิ้น โดยสามารถชำระหนี้ไปได้กว่า 10,000 ล้านบาท จากหนี้ทั้งหมดกว่า 20,000 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบัน บริษัทเหลือหนี้อีกประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท โดยหลังจากนี้ บริษัทจะเน้นการก่อสร้างโครงการที่มีอยู่ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้ โดยโครงการส่วนใหญ่จะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ ไตรมาส 2-3 ของปี 2562

ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่าขายรอโอน หรือ Backlog มูลค่า 10,417 ล้านบาท จาก 4 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก มียอดแบ็กล็อก 2,062 ล้านบาท และมียูนิตรอขายอีก 301 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถโอนห้องที่เหลือทั้งหมดได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2018 2) โครงการมหาสมุทร วิลล่า มียอดแบ็กล็อก 649 ล้านบาท และมีวิลลารอขายมูลค่าประมาณ 3,095 ล้านบาท

3) โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นยอดแบ็กล็อกคิดเป็นมูลค่า 6,914 ล้านบาท และห้องชุดรอขายมูลค่าประมาณ 1,086 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มสร้างเสร็จและโอนในช่วงไตรมาส 3 และ 4) โครงการ วินด์เชลล์ นราธิวาส มียอดแบ็กล็อก 792 ล้านบาท และมีห้องชุดรอขายอีกมูลค่าประมาณ 2,208 ล้านบาท โดยทั้งโครงการนิมิต หลังสวน และโครงการวินด์เชลล์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และทยอยโอนรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2562

สำหรับการลงทุนใหม่คาดว่าจะเริ่มมองหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในช่วงต้นปี 62 โดยจะเน้นการลงทุนพัฒนาโครงการที่ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน ใช้เวลาในการพัฒนาไม่เกิน 3 ปี ขนาดประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาท แต่ยังคงเน้นไปที่ตลาดระดับลักชัวรีเช่นเดิม นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการที่ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทำเลที่มีศักยภาพสูง เพื่อให้สามารถปิดการขายได้เร็ว ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาที่ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ส่วนแหล่งเงินทุนในการพัฒนาโครงการ บริษัทมั่นใจว่ายังมีความสามารถในการขอสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการได้อยู่ เนื่องจากลดหนี้ลงไปได้มาก นอกจากนี้ ธนาคารยังพิจารณาให้สินเชื่อตามศักยภาพของทำเลในการพัฒนาโครงการ ซึ่งทำให้บริษัทยังสามารถขอสินเชื่อเพื่อมาพัฒนาโครงการได้

“ที่ผ่านมา บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการก่อสร้าง ทำให้การพัฒนาล่าช้า การรับรู้รายได้ก็ช้าไปด้วย ทำให้ต้องเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งจากลูกค้า การก่อสร้างแหล่งเงินทุน แต่ก็ทำให้มีประสบการณ์ขึ้นมาก ซึ่งแม้ว่าจะเจออุปสรรค แต่บริษัทยังคงให้ความสำคัญต่องานก่อสร้าง การพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพเช่นเดิม ซึ่งการลงทุนหลังจากนี้ จะเน้นการลงทุนอย่างระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ จะต้องมีการพิจารณาภาพรวมของตลาด การแข่งขันของคู่แข่ง และการหาสิ่งใหม่ๆ ที่มีความแตกต่างเข้ามา และมีรูปแบบโครงการที่ชัดเจน” นายสรพจน์ กล่าว
นิมิตร หลังสวน
สำหรับความคืบหน้าด้านการก่อสร้าง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 3 โครงการ โดยมีมูลค่ารวมกันทั้งหมดกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการนิมิตร หลังสวน ก่อสร้างถึงชั้นที่ 30 และคาดว่าสิ้นปีนี้จะก่อสร้างไปได้ถึงชั้นที่ 50 จากทั้งหมด 54 ชั้น มหาสมุทร สร้างไปได้แล้ว 20 ยูนิต จากทั้งหมด 80 ยูนิต และวินด์เชลล์ ปัจจุบันสร้างไปได้ 20%

ล่าสุด บริษัทได้เลือกระบบน้ำทิ้ง Geberit Sovent ของเกเบอริท ซึ่งเป็นระบบน้ำทิ้งสำหรับอาคารสูงที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม ช่วยให้การออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด อีกทั้งยังเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของเกเบอริท ปัจจุบันได้มีการใช้ระบบนี้ในส่วนคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ และโรงแรมห้าดาวทั้งในยุโรป และอเมริกาเหนือ เช่น โรงแรมฮิลตัน, Maastoren Rotterdam เนเธอร์แลนด์, The Bosco Verticale อิตาลี และ Bella Sky เดนมาร์ก

ระบบ Sovent ของเกเบอริทในโครงการ นิมิต หลังสวน ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอย ลดเสียงรบกวนเมื่อเทียบระบบน้ำทิ้งแบบเดิมที่เชื่อมกับของเพื่อนบ้านทั้งด้านบนล่าง และห้องที่ติดกัน ช่วยลดพื้นที่ในช่องเซอร์วิส และช่วยขจัดปัญหาน้ำรั่วลงไปห้องด้านล่าง ทำให้การบริหารจัดการและการซ่อมแซมทำได้ภายในยูนิต หรือเรียกว่า Self-Contained และเป็นทางเลือกที่ไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้แก่เจ้าของบ้าน อีกทั้งมีการติดตั้งที่เรียบร้อย ทำให้ระบบ Sovent สามารถเพิ่มคุณค่าให้แก่การลงทุนในระยะยาว ทำให้ที่อยู่สวยงามดูแลง่ายตอบโจทย์ความเป็นที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์อย่างแท้จริง

โดยฟีเจอร์อื่นๆ ของโครงการที่จะเพิ่มมูลค่าในระยะยาวของโครงการ นิมิต หลังสวน ประกอบด้วย กระจกอินซูเลต หรือ Insulated Glass Unit ซึ่งเป็นกระจกที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถกันแสงอาทิตย์ กันความร้อน และเสียง ทำให้ผู้พักอาศัยประหยัดค่าไฟ นอกจากนั้น นิมิต หลังสวน ยังใช้แอร์ระบบ VRV Water Cooled Package หรือระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ ซึ่งสามารถวางคอนเดนเซอร์ไว้ในตัวอาคาร เพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบห้อง และเป็นระบบที่เหมาะต่อพื้นผิวอาคารที่มีความครีเอทีฟ และทำให้ลูกบ้านสามารถใช้ระเบียงได้อย่างเต็มที่
กำลังโหลดความคิดเห็น