xs
xsm
sm
md
lg

“แอลเอชมอลล์” ปั้นโมเดลมิกซ์ยูส เป้า 5 ปี ทุ่ม 1.6 หมื่น ล. ผุดโรงแรม-ห้างเพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เครือแลนด์ฯ สยายปีกรุกโครงการมิกซ์ยูส “แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล” ปั้น 2 แบรนด์ธุรกิจ “โรงแรม-ห้างสรรพสินค้า” วางเป้า 3-5 ปี ลงทุน 16,000 ล้านบาท ปักหมุดโครงการในทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ แหล่งที่มีความสมบูรณ์ พร้อมเตรียมเปิดโฉมสุดอลังการกับโมเดลมิกซ์ยูสในเมืองพัทยาครั้งแรกใน ต.ค.นี้ ด้วยมูลค่าโครงการสูงถึง 6,000 ล้านบาท ระบุรายได้ปีนี้ 5,300 ล้านบาท คาดภายในปี 64 รายได้แตะ 10,000 ล้านบาท

นางสุวรรณา พุทธประสาท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด ( LHMH ) บริษัทในเครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ผู้บุกเบิกพัฒนาโรงแรมภายใต้แบรนด์ “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์” และห้างสรรพสินค้าชั้นนำในแบรนด์ “เทอร์มินอล 21” กล่าวถึงภาพรวมของเมืองพัทยาว่า เป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบและครบครันในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีการให้บริการแบบครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ในทุกรูปแบบ พฤติกรรมการบริโภค การท่องเที่ยว และทุกระดับฐานะทางเศรษฐกิจสังคม เช่น มีทั้งสวนนงนุชพัทยา, สวนเสือศรีราชา, ปราสาทสัจธรรม, และหมู่บ้านช้างพัทยา เป็นต้น ส่งผลให้การท่องเที่ยวในเมืองพัทยามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ภาครัฐได้มีการส่งเสริมโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ส่งผลให้เกิดการเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ประกอบกับจังหวัดชลบุรี และระยอง มีนิคมอุตสาหกรรมที่มีกลุ่มคนทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก

โดยบริษัทได้มีการกำหนดเป้าหมายการลงทุนในช่วง 3-5 ปี ด้วยมูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านบาท ในการผลักดันโมเดลโครงการมิกซ์ยูส ทั้งในรูปแบบของห้างสรรพสินค้า และโรงแรม ขยายไปตามพื้นที่ศักยภาพในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาจัดหาที่ดิน 3-4 แปลง ในการพัฒนาโครงการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนประมาณ 1 แปลงภายในสิ้นปีนี้ ส่วนในตลาดต่างจังหวัดจะเลือกเมืองท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ตามแผนเดิมที่จะเข้าไปลงทุนในจังหวัดเชียงใหม่ และภูเก็ตนั้น คงต้องรอผลการศึกษาที่แน่ชัดอีกรอบ

“ในช่วงแผนระยะกลาง เราตั้งเป้า 2 ธุรกิจ คือ ห้างสรรพสินค้า และโรงแรม ซึ่งวางเป้าแต่ละปีจะลงทุน 1-2 โครงการ โดยกำลังพิจารณาที่ดินในการพัฒนาโครงการซึ่งอาจจะเป็นมิกซ์ยูส หรืออาจจะลงทุนเฉพาะโรงแรม หรือห้างสรรพสินค้าก็ได้ แต่ด้วยรูปแบบมิกซ์ยูสแล้ว จะมีส่วนเกื้อกูลในการทำธุรกิจ และตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้บริโภคได้ โดยการลงทุนในแต่ละทำเลเราต้องสำรวจและวิเคราะห์ดีมานด์ในแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทั้งเรื่องแหล่งชุมชน แหล่งงาน แหล่งที่มีความสมบูรณ์ ทั้งนี้ การทำโครงการมิกซ์ยูสต้องมีขนาดที่ดินไม่ต่ำกว่า 15 ไร่ รองรับการพัฒนาห้างสรรพสินค้าประมาณ 10 ไร่ ส่วนโรงแรม 3 ไร่ ก็โอเคแล้ว”

ล่าสุด ทางบริษัทเตรียมเปิดให้บริการโครงการมิกซ์ยูส “โรงแรมและห้างสรรพสินค้า”เป็นครั้งแรกในเมืองพัทยา โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 6,000 ล้านบาท เป็นโครงการมิกซ์ยูสแห่งที่ 2 ของกลุ่มแอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล ต่อจากโครงการเทอร์มินอล 21 ที่อโศก กรุงเทพฯ โดยที่พัทยา จะมีเนื้อที่ประมาณ 33 ไร่ พื้นที่รวม 1.8 แสนตารางเมตร (ตร.ม.) ประกอบศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา ประกอบด้วยพื้นที่ชอปปิ้งมอลล์ 6 ชั้น เปิดให้บริการในวันที่ 19 ต.ค.นี้ และส่วนของโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา โรงแรมแห่งที่ 5 เปิดให้บริการ 26 ต.ค.นี้ มีจำนวน 396 ห้อง มีสวนน้ำลอยฟ้าพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ห้องประชุมสัมมนา 7 ห้อง รองรับได้ 300 คนต่องาน จับกลุ่มลูกค้าพรีเมียม คาดว่าในปีที่ 2 ตั้งเป้าอัตราเข้าพักในส่วนของโรงแรมอยู่ที่ 88% และตั้งเป้ามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการในพื้นที่ศูนย์การค้ามากกว่า 50,000 คนต่อวัน

นางสุวรรณา กล่าวถึงแนโน้มของผลประกอบการในปี 61 และเป้าหมายตัวเลขที่จะเกิดขึ้นในปี 2564 ว่า ในปีนี้ รายได้ทั้งจากธุรกิจโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และจากการบริหารโรงแรมมีการเติบโตอย่างมาก โดยคาดว่า ปีนี้หากรวมรายได้จากธุรกิจที่เปิดให้บริการ และจากเงินปันผล จะมีตัวเลขสูงถึง 5,700 ล้านบาท แต่เฉพาะรายได้จากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 5,300 ล้านบาท (ปี 2560 มีรายได้รวม 3,000 ล้านบาทปลายๆ) จะมาจากโรงแรม 3,000 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการเปิดให้บริการโรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55 เข้ามาเสริม และธุรกิจห้างสรรพสินค้าอยู่ที่ 2,300 ล้านบาท โดยที่ปัจจุบัน รายได้โรงแรมยังมากกว่าศูนย์การค้าประมาณ 60:40 เนื่องจากศูนย์การค้ายังมีเพียงแห่งเดียว ซึ่งได้นำเข้ากองทรัสต์แล้ว จึงมีรายได้เฉพาะจากการบริหารพื้นที่ขายแฟชั่นไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด และเทอร์มินอล 21 โคราช และการเปิดศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา และยังไม่นำเข้ากองทุน จะทำให้รายได้จากศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นเป็น 45% โดยคาดว่า หลังปี 2564 บริษัทจะมีรายได้สู่ระดับ 10,000 ล้านบาท สัดส่วนของทั้งสองธุรกิจจะเท่ากับที่ 50:50.


กำลังโหลดความคิดเห็น