xs
xsm
sm
md
lg

ตปท.ขาย 2 แสน ล. แม้หุ้นเริ่มฟื้น สถาบัน-รายย่อยแบ่งช้อน 50:50

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการรายวัน 360 องศา - หุ้นไทยเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี 2561 จากปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ และฐานที่ต่ำจากปีก่อน อีกทั้ง P/E เริ่มต่ำ ภาพรวมพบนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกตั้งแต่ต้นปีจ่อ 2 แสนล้านบาท สถาบันและรายย่อยแบ่งกันอุ้ม 50% กูรูยกหุ้นกลุ่มบริโภคภายในประเทศ โดดเด่น และกลุ่มส่งออก ที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า

เมื่อเร็วๆ นี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 554 แห่ง (ไม่รวมหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ) มียอดขายรวม 5.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.01% และมีกำไรสุทธิรวม 5.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.61% โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมตามภาวะเศรษฐกิจ และอานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นมากกว่า 30% ยกเว้นกลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า และราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ผันผวน

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายคาดว่า ปัจจัยความกังวลในครึ่งปีหลัง 2561 น่าจะน้อยกว่าครึ่งปีแรก เพราะล้วนเป็นปัจจัยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น สงครามการค้าระหว่างประเทศ แต่ปัจจุบันนักลงทุนรับรู้เรื่องดังกล่าวแล้ว และมองว่าจากตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจ การลงทุนภาคเอกชนมีทิศทางที่ดีขึ้น น่าจะทำให้ครึ่งปีหลังมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากภาคการส่งออก และการท่องเที่ยว เนื่องจากมีไฮซีซันอยู่ในช่วงไตรมาส 4

ขณะเดียวกัน พบสัญญาณดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น โดยช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. หุ้นขึ้นถึง 6% อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า (พี/อี) ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 15.65 เท่า เทียบกับช่วงที่แพงที่ขึ้นไปถึง 17-18 เท่า และอัตราปันผลที่ 3.05%

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการซื้อขายสะสมตั้งแต่ต้นปีของนักลงทุนประเภทต่างๆ ยังพบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสะสมหุ้นตั้งแต่ต้นปี 1.93 แสนล้านบาท ตามมาด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสะสม 1.36 หมื่นล้านบาท ขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันซื้อสะสมตั้งแต่ต้นปีมากที่สุด 1.12 แสนล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปซื้อสะสม 9.49 แสนล้านบาท

“วิลาสินี บุญมาสูงทรง” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด แสดงความเห็นถึงการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาว่าเกิดจากจากปัจจัยบวก เมื่อสภาพัฒน์รายงานตัวเลข GDP ในช่วงไตรมาส 2/2561 เติบโต 4.6% ขณะที่ครึ่งแรกปี 2561 เติบโต 4.8% ตามการบริโภคเอกชนที่ขยายตัวดีกว่าคาด และคงคาดการณ์ GDP ปี 2561 เติบโตไว้ที่ระดับ 4.2-4.7%

นอกจากนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รายงานว่า เดือนกรกฎาคม มูลค่าการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าดีขึ้น โดยปรับเพิ่มเป้าการผลิตรถยนต์เป็น 2.08 ล้านคัน จากเดิม 2 ล้านคัน ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ เพิ่มขึ้น 25.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นฯ กรกฎาคม ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 62 เดือน แต่ตลาดหุ้นไทยยังคงมีปัจจัยกดดันจากปัญหาตุรกี แม้ส่งผลกระทบทางอ้อมกับเศรษฐกิจไทย เนื่องจากส่งผลกระทบต่อ fund flow ของตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย และความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่อาจชะลอตัวลงจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ 23 ส.ค.นี้

ขณะเดียวกัน ยังคงมีปัจจัยที่น่าจับตา ได้แก่ การเจรจาการค้าผู้แทนสหรัฐฯ-จีน โดยคาดจะพุ่งเป้าไปที่เรื่องเงินหยวนอ่อนค่า ทำให้ตลาดหุ้นไทยถูกประเมินว่ามีแนวโน้มผันผวนในขาขึ้น คาดดัชนีผันผวนในกรอบ 1,665-1,720 จุด แนะเก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่าครึ่งปีหลัง 2561 เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นที่ได้อานิสงส์จากค่าการกลั่นเริ่มปรับตัวขึ้น หุ้น และหุ้นกลุ่มส่งออก ที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า

ด้าน “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ ให้ความเห็นว่า ภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/61 ยังทรงตัว แต่บางกลุ่มแย่กว่าที่ตลาดคาด ทำให้เริ่มมีการปรับประมาณการกำไรของ บจ. ลงมาตามระดับ อีกทั้งมองว่าหุ้นไทยไม่ได้อยู่ในโซนราคาถูกเพราะ P/E 15.7 เท่า ถือว่าเริ่มแพง โดยคาดหมายว่า ช่วงที่เหลืออยู่ดัชนีหุ้นไทยยังมีโอกาสแตะที่ระดับ 1,800 จุด อิง P/E 15 เท่า ส่วนต่ำสุดอยู่ระดับ 1,500 จุด

ด้านกลยุทธ์ลงทุน ในช่วงครึ่งปีหลัง บล. ทรีนิตี้ ให้น้ำหนักต่อหุ้นกลุ่ม domestic ยังมีแนวโน้มสดใสตามกำลังซื้อที่ดีต่อเนื่อง รวมถึงภาคส่งออกที่ได้อานิสงส์ทางอ้อมจากสงครามการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐฯ มีออเดอร์ไหลเข้ามาไทยมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่ต้องระมัดระวัง เช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี เนื่องจากฐานกำไรครึ่งปีแรกค่อนข้างสูงแล้ว และหากราคาน้ำมันไม่สามารถขึ้นได้มากว่านี้ กลุ่มนี้อาจเป็นตัวหน่วงกำไร บจ. ซึ่งทั้งปีคาดการณ์ว่าจะเติบโต 8-10%

ด้าน “ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยยังมีโอกาสปรับตัวผันผวนในขาขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังเติบโต หรือฟื้นตัวจากฐานต่ำในอดีต ที่จะช่วยเสริมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะได้ประโยชน์ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในอนาคต ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก ทั้งอาหาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนประกอบรถยนต์ การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยที่ฟื้นตัวดีจากปีก่อน รวมไปถึงการฟื้นตัวของราคาสินค้าเกษตรบางรายการ ที่ทำให้การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าส่งผลดีต่อแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มธนาคารในท้ายที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น