xs
xsm
sm
md
lg

KTIS-GGC เซ็นเอ็มโอยูกับ “เค็มโปลีส” จากฟินแลนด์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กลุ่มเกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ฯ ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ “โกลบอลกรีนเคมิคอล” และเค็มโปลีส ผู้นำเทคโนโลยีชีวภาพระดับโลกจากฟินแลนด์ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงแปรรูปชานอ้อยเป็นเอทานอลคุณภาพสูง ที่เพิ่มมูลค่าให้แก่ชานอ้อยตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ พร้อมต่อยอดการลงทุนเชิงพาณิชย์ในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ เฟส 2

วันนี้ (22 ส.ค.) ได้มีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ชานอ้อย ระหว่างบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC และเค็มโปลีส จำกัด (Chempolis) จากประเทศฟินแลนด์

นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กล่าวว่า ตามที่กลุ่ม KTIS และ GGC ได้มีข้อตกลงร่วมกันพัฒนาโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) โดยในเฟสแรกจะนำน้ำอ้อยมาผลิตเป็นเอทานอล และมีชานอ้อยเป็นผลพลอยได้ ซึ่งชานอ้อยนอกจากสามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า และผลิตเยื่อกระดาษชานอ้อยได้แล้ว ยังสามารถนำไปเปลี่ยนเป็นน้ำตาล และสารมูลค่าสูงอื่นๆ เช่น เฟอเฟอราล (Furfural), อะซีติก เอซิด (Acetic Acid) และลิกนิน (Lignin) แต่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นการเฉพาะ เช่น เทคโนโลยีเซลลูโลสชีวมวล (Cellulosic Biomass Technology) ซึ่งพัฒนาโดยเค็มโปลีส ผู้นำด้านเทคโนโลยีชีวภาพระดับโลกจากฟินแลนด์

“การลงนามในบันทึกความเข้าใจสามฝ่าย คือ KTIS, GGC และเค็มโปลีส ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะพัฒนาไปสู่โครงการที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากชานอ้อยที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ตามนโยบายการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ซึ่งเป็นโครงการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ต่อยอดที่มีมูลค่าสูงขึ้น อันจะส่งผลให้มูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศสูงขึ้นด้วย รายได้ของเกษตรกรก็จะสูงขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ชุมชนใกล้เคียงก็จะมีเศรษฐกิจ และสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว

ทั้งนี้ พันธมิตรทั้งสามองค์กรจะร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้เทคโนโลยีที่เค็มโปลีสมีอยู่แล้ว หรือที่จะพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อที่จะแปรรูปชานอ้อยให้เป็นผลิตภัณฑ์และสารเคมีคุณภาพสูงต่างๆ ที่สามารถใช้ทดแทนสารเคมีที่ผลิตจากสารตั้งต้นที่ไม่ใช่วัตถุดิบธรรมชาติได้ อันจะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโลกด้วย ซึ่งหากศึกษาแล้วพบว่ามีโอกาสจะดำเนินโครงการเชิงพาณิชย์ได้ ก็จะพัฒนาเป็นโครงการในเฟสที่ 2 ของนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ต่อไป

สำหรับการลงทุนในช่วงแรก จะมีการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อรองรับโครงการในเฟสที่ 1 และเฟสที่ 2 และสร้างโรงงานผลิตเอทานอลจากน้ำอ้อย ใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 8 พันล้านบาท โดย KTIS และ GGC ลงทุนฝ่ายละ 50 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปีหลังจากได้รับอนุมัติการลงทุน ทั้งนี้ จะมีการหีบอ้อยประมาณ 2.4 ล้านตันต่อปี มีกำลังการผลิตเอทานอล 6 แสนลิตรต่อวัน


กำลังโหลดความคิดเห็น