xs
xsm
sm
md
lg

LPN เตรียมส่งมอบเพิ่ม 3 โครงการ 2,000 ล้าน เผยปี 61 บุ๊กแบ็กล็อกกว่าครึ่งหมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

โอภาส ศรีพยัคฆ์
LPN เผยกลยุทธ์การปรับธุรกิจ หรือ “ปีแห่งการปรับเปลี่ยน” ช่วยประคององค์กร ท่ามกลางภาวะเศรษฐกจิทั้งในและต่างประเทศไม่สู้ดี เผยไตรมาส 3 รายได้หลักรวมลดลงเพียงร้อยละ 4.80 เผยไตรมาสสุดท้ายส่งมอบอีก 3 โครงการ หนุนรายได้เข้ามาอีก 2,000 ล้านบาท พร้อมเปิดเพิ่ม 2 โครงการ จับตาแบ็กล็อกรับรู้ปี 61 กว่าครึ่งหมื่นล้าน

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 3 ของปี 2560 ว่า บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาอาคารชุดพักอาศัยในเมือง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการพักอาศัย สำหรับกลุ่มเป้าหมายในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ (Allordable House) จากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งภายนอกและภายในประเทศยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งมีผลกระทบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์ และกลุ่มเป้าหมาย โดยกำหนดให้ปี 2560 เป็น “ปีแห่งการปรับเปลี่ยน (Year of Shift)” 1) มีการปรับกลุ่มลูกค้าจากกลางถึงกลาง-ล่างเป็นกลาง-ล่างถึงบน โดยยังคงกลยุทธ์ Allordable House อยู่

2) พัฒนเรื่อง แบรนด์ อิมเมจ ควบคู่ไปกับการปรับ Segmentation

3) การปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อยให้รับงานบริการภายนอก โดยไม่ยึดติดกับบริษัทแม่ เพื่อเป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้แก่องค์กร

4) แผนการดำเนินการอื่น ๆ ที่สองคล้องและสนับสนุนกับการปรับเปลี่ยน

สำหรับในไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้หลักรวม จำนวน 2,346.48 ล้านบาท ลดลง 118.43 ล้านบาทจากไตรมาส 3 ปี 59 หรือลดลงเพียงร้อยละ 4.80 โดยรายได้หลักมาจากรายได้จากการขายกว่าร้อยละ 90 ของรายได้หลักรวม ซึ่งลดลงจาก 2,272.41 ล้านบาทในปี 59 เป็น 2,120.17 ล้านบาทในปี 60 หรือลดลงร้อยละ 6.70 ซึ่งในไตรมาส 3 ปีนี้ ไม่มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และส่งมอบ เป็นการรับรู้รายได้จากการขายของโครงการที่แล้วเสร็จในช่วงก่อนหน้า ซึ่งในไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทเปิดเพียง 1 โครงการ ได้แก่ โครงการลุมพินี พาร์ค พหล 32 มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ทำให้ช่วง 9 เดือนของปี 60 บริษัทได้เปิดตัวขายไปแล้วทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท โดยมียอดขาย 13,000 ล้านบาท

ช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ บริษัทมีโครงการที่จะแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบอีก 3 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท และมีแผนเปิดตัวเพิ่มอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นโครงการที่เปิดตัวใหม่ทั้งปี จำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 14,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ 30 ก.ย. 60 บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) ประมาณ 7,400 ล้านบาท แยกเป็นรับรู้รายได้ในปีนี้ 1,950 ล้านบาท ปี 61 ประมาณ 5,200 ล้านบาท และปี 62 ประมาณ 250 ล้านบาท และของบริษัทย่อยอีกประมาณ 450 ล้านบาท

ในส่วนของผลกำไร (ขาดทุน) ไตรมาส 3 บริษัทมีกำไรสุทธิลดลง 106.78 ล้านบาท จาก 309.51 ล้านบาท เป็น 202.73 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 34.50 เนื่องจากรายได้จากการขายลดลงจาก 2,272.41 ล้านบาท เป็น 2,120.17 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 6.70 ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากสินค้าพร้อมอยู่ คิดเป็นประมาณร้อยละ 79 ของรายได้ที่รับรู้ในไตรมาสนี้ ทำให้กำไรขั้นต้นน้อยกว่าร้อยละ 30 แต่บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขาย (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์) และค่าใช้จ่ายบริหารให้ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 43.17 และร้อยละ 7.43

สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 18,557.92 ล้านบาท เป็น 20,458.26 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากโครงการระหว่างพัฒนาเพิ่มขึ้น 3,667.99 ล้านบาท จาก 6,645.33 ล้านบาท เป็น 10,313.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.20 เป็นการซื้อที่ดินพัฒนาเพิ่มในปี 60 จำนวน 3 โครงการและรอโอนที่ดินอีก 3 แปลง

สำหรับผลการดำเนินงวด 9 เดือน มีรายได้หลัก 6,857.44 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 59 ที่ 12,051.80 ล้านบาท รายได้จากการขาย ทำได้ 6,203.89 ล้านบาทเทียบกับ 11,505.15 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 766.69 ล้านบาท เทียบกับ 1,893.5 ล้านบาท.


กำลังโหลดความคิดเห็น