xs
xsm
sm
md
lg

อดีต MB KTB ยืนยันไม่มีสัมพันธ์แน่น EARTH

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ออกแถลงการณ์ยืนยันไม่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH และไม่มีอำนาจควบคุม หรือสั่งการให้มีการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้า เพราะขั้นตอนการพิจารณาต้องผ่านการกลั่นกรองจากสายงานต่างๆ อย่างรอบคอบ

แถลงการณ์ของ นายวรภัค ระบุว่า จากกรณีที่หนังสือพิมพ์ข่าวธุรกิจฉบับหนึ่ง ลงวันที่ 5-7 ตุลาคม 2560 รวมถึงเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ลงข่าวพาดพิงถึงในฐานะอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย กับ EARTH โดยกล่าวหาในประเด็นต่างๆ คือ 1) สายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับบริษัท 2) การกุมบังเหียนสั่งการปล่อยสินเชื่อ 3) ทำไมต้องทำ equity finance และ 4) ความเสียหายของธนาคารกรุงไทย



พร้อมทั้งขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ 1.กรณีมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับลูกค้านั้น ข้อเท็จจริงคือ ก่อนมารับตำแหน่งที่ธนาคารกรุงไทย ก็ไม่เคยรู้จักลูกค้ากลุ่มนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นตัวบริษัทเอง หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 2 กลุ่ม หลังจากรับตำแหน่งที่ธนาคารกรุงไทยแล้วก็ไม่เคยประชุมร่วมกับลูกค้า หรือไปกินข้าว หรือทำกิจกรรมใดใดกับลูกค้ากลุ่มนี้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นตนจึงไม่ได้มีความสัมพันธ์พิเศษใดๆ ทั้งสิ้นกับบริษัทนี้ หรือกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 2 กลุ่ม

ขณะที่ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นลูกค้าดั้งเดิมของธนาคารกรุงไทย โตมาจากสำนักงานธุรกิจศรีราชา พอเริ่มมีขนาดใหญ่ (บริษัทนี้มียอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 18,000 กว่าล้านบาท) ก็ถูกโอนย้ายมาอยู่กับสายงานลูกค้ารายใหญ่ ก่อนที่ตนจะมารับตำแหน่งที่ธนาคารกรุงไทย เมื่อปลายปี 2555

2.กรณีเป็นผู้กุมบังเหียนสั่งการในการอนุมัติสินเชื่อรายนี้นั้น ยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ ซึ่งข้อเท็จจริงคือกรรมการผู้จัดการใหญ่ในยุคปัจจุบันไม่มีอำนาจในการอนุมัติสินเชื่อเอง สินเชื่อรายใหญ่ที่นำเสนอขออนุมัติโดยสายงานธุรกิจ ต้องผ่านการกลั่นกรองจากสายงานบริหารความเสี่ยง และคณะกรรมการกลั่นกรองสินเชื่อก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหาร หรือคณะกรรมการธนาคารเพื่ออนุมัติ คณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการธนาคารจะเน้นย้ำดูประเด็นหลักๆ และที่สำคัญที่สุด คือ ดู credit risk rating ของลูกค้าแต่ละรายว่าเป็นอะไร เพราะ credit risk rating เป็น indicator หลักที่จะสะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า เพราะฉะนั้น โดยบทบาทและหน้าที่ของตนไม่มีอำนาจใดๆ ในการที่จะกุมบังเหียนการอนุมัติสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่แต่ละรายเองได้

3.ทำไมต้องทำ equity finance นั้น ธนาคารไม่ได้มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้านำไปซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นรายอื่นในพอร์ตสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย การปล่อยสินเชื่อเพื่อไปซื้อหุ้นคืนของลูกค้านั้นมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของสินเชื่อรวม ก่อนหน้านี้ ทางธนาคารกรุงไทยก็เคยปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าบางรายไปซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นรายอื่น ซึ่งสาเหตุหลักในการซื้อหุ้นคืนส่วนใหญ่เป็นเรื่องผลตอบแทนการลงทุน หรือในบางกรณีก็อยากจะเพิ่มอำนาจในการควบคุมบริษัท buy out financing ในต่างประเทศมีธุรกรรมมากกว่าที่ประเทศไทยเยอะมาก ธนาคารไทยหลายแห่งก็ได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อให้ไปซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นรายอื่นเช่นกัน ทั้งหุ้นที่อยู่ในตลาด และหุ้นของบริษัทที่อยู่นอกตลาด

      แต่ปัจจัยที่สำคัญก็คือ ปล่อยกู้แล้วลูกค้ามีความสามารถในการชำระหนี้คืนให้ธนาคารอย่างไร ในกรณีของ EARTH ทางบริษัทก็ได้ชำระเงินต้นดอกเบี้ยคืนให้แก่ธนาคารเจ้าหนี้ทุกรายตามกำหนด จนกระทั่งมีธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่หนึ่งยกเลิกวงเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นกะทันหัน ทำให้บริษัทมีปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง ใบหุ้นที่เคยมีมูลค่าสูงถึง 20,000 ล้านบาท จะกลายเป็นเศษกระดาษก็เพราะปัญหาสภาพคล่องเป็นหลัก

4.ความเสียหายของธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่เกิดจากอะไรนั้น มีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่าธนาคารเจ้าหนี้เสียหายเพราะปล่อยสินเชื่อโดยที่บริษัทยังไม่มีใบอนุญาต หรือได้รับใบอนุญาตล่าช้าในการทำเหมืองถ่านหินที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งข้อเท็จจริงก็คือ บริษัทมีใบอนุญาตเรียบร้อยแล้ว และไม่เคยมีปัญหาในการส่งมอบถ่านหินขายให้แก่ลูกค้าในช่วงที่ผ่านมา

ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า ผมเองในปัจจุบันไม่ได้มีข้อมูลอย่างละเอียดของเคสนี้ในมือแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เป็นมุมมองของผมมาจากข้อมูลที่บริษัทแจ้งไว้ต่อทาง ก.ล.ต. รวมทั้งงบการเงินที่เปิดเผยต่อสาธารณะเท่านั้น ซึ่งถ้าดูข้อมูลตัวเลขตามที่เปิดเผย และการเงินได้รับการรับรองโดยผู้ตรวจสอบบัญชีชั้นนำก็ยังดูว่าธุรกิจเสมือนเป็นปกติอยู่ ก่อนหน้าที่จะหยุดชำระหนี้ธนาคาร

ฉะนั้น ขออนุญาตลบความเห็นเรื่องมุมมองตรงนี้ออกไปก่อนแล้วรอให้เป็นกระบวนการสอบสวนสรุปข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่งครับ

ก่อนหน้านี้ นายวรภัค แสดงทรรศนะส่วนตัวต่อกรณีดังกล่าวไว้ดังนี้ “ในมุมมองส่วนตัว เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นของลูกค้ารายนี้ เท่าที่ติดตามนำงบการเงินตามที่บริษัทได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ มาวิเคราะห์ดูผลการดำเนินงานของบริษัทก็ยังเป็นปกติ ยอดขายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ประมาณการหนี้โตตามเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งเพิ่มขึ้นตามยอดขาย ปัญหาของบริษัทเท่าที่ดูจากงบการเงิน และข่าวต่างๆ น่าจะเกิดจากการที่ธนาคารเจ้าหนี้ได้หยุดการให้วงเงินหมุนเวียนระยะสั้นอย่างกะทันหัน โดยธนาคารให้เหตุผลว่า ลูกค้านำเงินไปใช้ผิดประเภท ตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่เกิดปัญหานี้ขึ้น แต่โดยปกติแล้วถ้าทางธนาคารต้องการให้ลูกค้าชำระหนี้คืน หรือลดวงเงินก็ควรจะมีการเจรจา และวางแผนในการชำระหนี้เป็นขั้นเป็นตอน ค่อยๆ ปรับลดวงเงินตามระยะเวลาที่ตกลงกัน รวมทั้งธนาคารต้องเข้าไปควบคุมการจัดการทางการเงินของลูกค้าอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่หยุดการให้หมุนวงเงินอย่างกะทันหัน และขอชำระหนี้ในทันทีทันใด

      การยกเลิกวงเงินในทันทีทันใดจะเป็นผลเสียต่อทั้งลูกค้า และ stakeholders อื่นๆ ทั้งผู้ถือตราสารหนี้ที่จำนวนมากก็เป็นลูกค้ารายย่อยของธนาคารเอง และผู้ถือหุ้นของบริษัท และธนาคาร ยกเว้นในกรณีที่ธนาคารเล็งเห็นว่าธุรกิจและอุตสาหกรรมไม่สามารถไปต่อได้ ทำธุรกิจต่อไปแล้วจะมีแต่ขาดทุนไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นกรณีนั้นก็อาจจะต้องหยุดวงเงินทันที แต่อย่างไรก็ดี ควรมีการประเมินถึงผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน และเลือกแนวทางที่จะเกิดความเสียหายต่อธนาคาร และผู้เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

       ในกรณีที่ธุรกิจ และอุตสาหกรรมยังไปต่อได้ปกติแล้วหลักการในการแก้ปัญหาก็คือ ต้องให้ลูกค้าทำงานใช้หนี้ ซึ่งในกรณีของ EARTH เท่าที่ได้มีโอกาสดูจากตัวเลขเท่าที่จะหาได้จากข้อมูลสาธารณะที่เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ จนกระทั่งถึงจุดที่มีข่าวการหยุดวงเงินโดยธนาคารกรุงไทย ทางบริษัทยังมีการดำเนินธุรกิจตามปกติ (ยอดขายเมื่อสิ้นปี 2559 อยู่ที่ประมาณ 18,000 กว่าล้านบาท และในไตรมาสที่ 1 กว่า 7,000 ล้านบาท) นอกจากนั้น เท่าที่ได้ติดตามข่าวลูกค้ายังชำระดอกเบี้ย และเงินต้นตามปกติ และ Tris Rating ก็ยังให้การยืนยันเรตติ้ง BBB- จนกระทั่งมีข่าวผิดนัดชำระหนี้ออกมา ถึงได้ถูก down graded”

ขณะที่การแก้ปัญหาล่าสุด ตามรายงานข่าว ปรากฏว่า กลุ่มธนาคารเจ้าหนี้ และทางลูกหนี้ (บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH)) ตกลงที่จะให้บริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งนั่นหมายความว่า ทางกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้ยังเล็งเห็นว่า ธุรกิจ และอุตสาหกรรมนี้ยังไปต่อได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังแปลกใจว่า ถ้าธุรกิจและอุตสาหกรรมยังไปต่อได้ทำไมก่อนหน้านี้ธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ถึงไประงับวงเงินจนทำให้ลูกค้าขาดสภาพคล่อง และเกิดปัญหาบานปลายในที่สุด

นายวรภัค จึงลบโพสต์ในส่วนการแสดงทรรศนะส่วนตัวออก
กำลังโหลดความคิดเห็น