xs
xsm
sm
md
lg

สคร. แจง พ.ร.บ. กำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ไม่เกี่ยวกับการแปรรูปฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สคร. แจงข้อวิจารณ์ร่าง พ.ร.บ. การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ปฏิเสธไม่เกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งทางตรง และทางอ้อม แต่เพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาล เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้มีความพร้อมในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ และสามารถดำเนินการได้เต็มศักยภาพ โดยให้คงความเป็นรัฐวิสาหกิจไว้

ตามที่สื่อสังคม online ได้เผยแพร่ข้อวิจารณ์ร่าง พ.ร.บ. การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ (ร่าง พ.ร.บ. การพัฒนารัฐวิสาหกิจ) ว่า “คสช. เตรียมออกกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจอำพรางแบบยกเข่งโดยผ่านสภาเสียงข้างเดียว กินรวบหนักกว่ายุคทักษิณหรือไม่” กระทรวงการคลังขอชี้แจงว่า ข้อวิจารณ์ข้างต้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงอย่างมาก จึงขอชี้แจงแต่ละประเด็น

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอชี้แจงว่า ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และไม่เกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งทางตรง และทางอ้อม แต่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปฏิรูปและยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจผ่านการส่งเสริมให้มีระบบธรรมาภิบาลที่ดี โปร่งใส มาใช้กำกับรัฐวิสาหกิจ และนำมาตการที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจ

โดยในระหว่างยกร่างกฎหมาย และการรับฟังความคิดเห็นจากสหภาพฯ ที่เป็นห่วงในประเด็นการแปรรูปนี้ ในหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจ จึงได้ระบุให้ชัดเจนว่า “บรรษัทฯ ทำหน้าที่ในฐานะผู้ถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทแทนกระทรวงการคลัง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้มีความพร้อมในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ และสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยคงความเป็นรัฐวิสาหกิจไว้” และได้มีการกำหนดไว้ในกฎหมายชัดเจนว่า “ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบรรษัทฯ และหุ้นทุกหุ้นของบรรษัทฯ ...โอนเปลี่ยนมือมิได้” ดังนั้น ข้อวิจารณ์ที่ว่า “กระทรวงการคลังอยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นรายหนึ่งในบรรษัทฯ และจะเปิดให้เอกชนมาถือหุ้นแทน” จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และไม่ถูกต้อง

ส่วนประเด็นหุ้นของรัฐในรัฐวิสาหกิจจะถูกลดสัดส่วนลงไปเรื่อย ๆ จนรัฐวิสาหกิจอาจหมดสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยที่ประชาชนไม่มีโอกาสรับรู้ กระทรวงการคลังระบุว่า ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจ กำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบรรษัทฯ ประกอบกับมาตรา 89 กำหนดให้เมื่อกระทรวงการคลังได้โอนหุ้นในรัฐวิสาหกิจให้แก่บรรษัทฯ แล้ว ให้มติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังในรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัดใด ใช้บังคับกับบรรษัทฯ ในการถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจนั้นด้วย อันมีผลทำให้บรรษัทฯ เมื่อได้รับโอนหุ้นจากกระทรวงการคลังแล้ว จำเป็นจะต้องเพิ่มทุนให้คงสัดส่วนตามที่มติคณะรัฐมนตรีได้กำหนดไว้ โดยจะไปลดทุนเองไม่ได้

นอกจากนั้น มาตรา 11 (8) แห่งร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจ กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เป็นผู้เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในกรณีที่จะมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าว อันเป็นการสร้างขั้นตอนการลดสัดส่วนหุ้นของรัฐวิสาหกิจขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้เกิดความรอบคอบ จากเดิมที่เป็นเพียงมติคณะรัฐมนตรีที่กระทรวงเจ้าสังกัดแต่ละแห่งจะสามารถเสนอขอลดสัดส่วนได้เอง ดังนั้น ข้อวิจารณ์ที่ว่า หุ้นของรัฐในรัฐวิสาหกิจจะถูกลดสัดส่วนไปเรื่อย ๆ จึงไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ ประชาชนยังมีสิทธิตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 78 ทุกประการ

สำหรับการนำบริษัทรัฐวิสาหกิจ 11 แห่งที่มีทรัพย์สินรวมกันมูลค่ามหาศาลประมาณ 6 ล้านล้านบาท ซึ่งมีทั้งทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติ รวมทั้งอำนาจ และสิทธิมหาชน เตรียมเปิดขายเหมาเข่ง เป็นกระบวนการผ่องถ่ายทรัพย์สินของรัฐให้เอกชนใช่หรือไม่นั้น

กระทรวงการคลังย้ำว่า บรรษัทฯ เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด โดยกระทรวงการคลังทำหน้าที่ควบคุมการใช้จ่าย และการลงทุนของบรรษัทฯ รวมถึงประเมินผลการทำหน้าที่ของบรรษัทฯ คู่ขนานไปกับ คนร. ที่จะกำกับการดำเนินการของบรรษัทฯ ให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้มีความพร้อมในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ และสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยยังคงความเป็นรัฐวิสาหกิจไว้ อันเป็นหลักการและเหตุผลในการตรากฎหมายฉบับนี้ ดังนั้น ร่างกฎหมายนี้จึงมีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการดำรงความเป็นรัฐวิสาหกิจไว้

ในประเด็นการจัดตั้งบรรษัทฯ และการรวบเอากรรมสิทธิ์ในหุ้นรัฐวิสาหกิจไปรวมศูนย์ไว้ในมือของบรรษัทฯ นั้น นอกจากมิได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศไทย และไม่สามารถพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจให้ดีขึ้นแต่อย่างใดแล้ว บรรษัทฯ ยังสามารถจะใช้ทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือในการทำธุรกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยนกับนักธุรกิจในประเทศ และในต่างประเทศได้

กระทรวงการคลังได้ชี้แจงว่า การจัดตั้งบรรษัทฯ ขึ้นตามร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจนี้เป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนารัฐวิสาหกิจ โดยสร้างความชัดเจนในหน้าที่ของผู้ถือหุ้นของรัฐวิสาหกิจจากเดิมที่มีหน้าที่ทับซ้อนกันของหลายหน่วยงาน และกำหนดให้บรรษัทฯ ทำหน้าที่เป็นผู้ถือหุ้นเชิงรุก ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 44 แห่งร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจ ที่กำหนดให้จัดตั้งบรรษัทฯ ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ “เพื่อถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจในกำกับของบรรษัทฯ และกำกับดูแลการประกอบกิจการของรัฐวิสาหกิจในฐานะผู้ถือหุ้น ให้เกิดผลตอบแทนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ” ซึ่งการทำหน้าที่ของผู้ถือหุ้นเชิงรุกโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนารัฐวิสาหกิจ ย่อมส่งผลให้กิจการของรัฐวิสาหกิจมีการดำเนินการตามนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถจัดให้มีบริการสาธารณะที่ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจนี้ยังกำหนดให้มีการประเมินผลบรรษัทที่ชัดเจนโดยกระทรวงการคลังมีหน้าที่ประเมินผลการดำเนินงานบรรษัทฯ ตามหลักเกณฑ์ที่ คนร. กำหนด ดังนั้น การนำรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทที่มีทุนเรือนหุ้นที่ชัดเจนมาอยู่ภายใต้บรรษัทฯ ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ มีกระทรวงการคลังถือหุ้น 100% จะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น จากการมีมาตรฐานการกำกับดูแลเดียวกัน โปร่งใส และรับผิดชอบตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี

กระทรวงการคลัง ยังย้ำว่า ในการยกร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจ ได้มีการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นที่ครบถ้วนตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เช่น การจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และประชาชนทั่วไป ที่สนใจ รวมทั้งองค์กรด้านแรงงานของรัฐวิสาหกิจ (สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจฯ และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์) ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้นำความเห็น และข้อสังเกตดังกล่าว มาประกอบการปรับปรุงร่างกฎหมายด้วยแล้ว เช่น ข้อกังวลของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังได้กำหนดในเหตุผลของร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจว่า “สมควรจัดตั้งบรรษัทฯ ทำหน้าที่ผู้ถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทแทนกระทรวงการคลัง…โดยคงความเป็นรัฐวิสาหกิจไว้” ดังที่ได้ชี้แจงไปแล้วในประเด็นที่หนึ่งข้างต้น นอกจากนี้ ทาง สนช. ได้จัดตั้งกรรมาธิการฯ เพื่อนำร่างกฎหมายมาพิจารณาให้รอบคอบด้วยอีกชั้นหนึ่ง โดยได้มีประธานสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจฯ (สพร.ท) เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการฯ ด้วย

สำหรับบรรษัทฯ ที่ตั้งไม่ขึ้นอยู่กับสภาพัฒน์ ไม่อยู่ภายใต้กฎหมาย แรงงานสัมพันธ์ และ พ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึงบรรษัทฯ สามารถเลือกองค์กรที่จะเข้ามาตรวจสอบบัญชีได้ จึงไม่แน่ใจว่า กม. ที่จะป้องกันทุจริต มีอำนาจตรวจสอบหรือไม่นั้น กระทรวงการคลังชี้แจงว่า ตามมาตรา 5 ของร่าง พ.ร.บ. ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า “ให้รัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังได้โอนหุ้นให้แก่บรรษัทฯ ตามพระราชบัญญัตินี้เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และให้นำกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ มาใช้กับพนักงานรัฐวิสาหกิจ นอกจากนั้น ในการกำหนดยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ คนร. จะเป็นผู้กำกับให้บรรษัทฯ เสนอกรอบนโยบายการพัฒนาและทิศทางการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจ ไม่ได้ให้สิทธิบรรษัทฯ ในการเลือกองค์กรที่จะเข้ามาตรวจสอบบัญชี หากแต่กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบรรษัทฯ จะเป็นผู้แต่งตั้งผู้สอบบัญชีของบรรษัทฯ ตามมาตรา 79 ประกอบกับบรรษัทฯ ยังมีสถานะเป็นหน่วยรับตรวจตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน นอกจากนี้ บรรษัทฯ จะยังอยู่ในความหมายของนิยาม “หน่วยงานของรัฐ” ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ที่จะต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายดังกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น