xs
xsm
sm
md
lg

เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ ขาย Solar Farm เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานญี่ปุ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บอร์ด “เชาว์ สตีล อินดัสทรี้” ไฟเขียวบริษัทย่อยขาย 2 โครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ Ibaraki กำลังการผลิต 1.17 MW และ Oita กำลังการผลิต 3.26 MW รวม 4.43 เมกะวัตต์ เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น เผยรับรู้รายได้ทันทีกว่า 622 ลบ. เพื่อให้เป็นไปตามแผนธุรกิจและหนุนแผนขยายฐานธุรกิจโรงไฟฟ้า ทำได้คล่องตัวขึ้น

นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศ และธุรกิจพลังงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ผ่านบริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (CE) บริษัทย่อย กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 5/2560 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้บริษัทย่อยของบริษัทฯ ขายโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 4.43 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการ Ibaraki กำลังการผลิต 1.17 เมกะวัตต์ (DC) และโครงการ Oita กำลังการผลิต 3.26 เมกะวัตต์ ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น มูลค่าประมาณ 2,040 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 622.86 ล้านบาท

สำหรับโรงไฟฟ้าโครงการ Ibaraki มีกำลังการผลิต 1.17 เมกะวัตต์ (DC) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff ระยะเวลา 18 ปี กับ Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) อัตรารับซื้อไฟฟ้า 36 เยนต่อหน่วย จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2558 ส่วนโครงการ Oita มีกำลังการผลิต 3.26 เมกะวัตต์ (DC) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff ระยะเวลา 18 ปี กับ Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) อัตรารับซื้อไฟฟ้า 40 เยนต่อหน่วย จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2558

ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า การขายโครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งในครั้งนี้เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างผลกำไรจากการลงทุน เนื่องจากปัจจุบัน โครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ได้รับความสนใจจากกองทุนประเภทโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก สามารถขายได้ในราคาพรีเมียม โดยบริษัทฯ สามารถนำกระแสเงินสดที่ได้จากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวไปเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการอื่นที่สร้างกำไรให้กับบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นได้ดีกว่าเดิม หรือชำระหนี้ที่เกิดจากการลงทุนก่อนหน้านี้ ซึ่งจะทำให้ลดภาระเรื่องดอกเบี้ยจ่ายลง ทั้งยังขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่า การขายโครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งจะเสร็จสิ้น และรับรู้รายได้ภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้

“การขายโครงการ Ibaraki และ Oita เป็นเพียงการขายเพื่อสร้างผลกำไรจากการลงทุน เพิ่มความคล่องตัวให้กับการขยายธุรกิจในโอกาส และเงื่อนไขที่ดีกว่า โดย CHOW ยังมีเป้าหมายขยายธุรกิจพลังงานในประเทศญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง จากที่ประเทศญี่ปุ่นยังคงมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอีกมาก และรัฐบาลให้การสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ประกอบกับบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในตลาดญี่ปุ่น เป็นอย่างดี มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร และเทคโนโลยี ทำให้บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสในการเจริญเติบโตในอนาคต อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่นของบริษัทฯ เนื่องจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคงในระยะยาว ส่วนเป้าหมายจะเพิ่มยอดขายไฟในเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2560 ให้มีกำลังผลิตรวมไม่น้อยกว่า 100 เมกะวัตต์ เพื่อสะท้อนรายได้จากธุรกิจพลังงานให้เติบโตก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ ยังคงยืนตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้” นายอนาวิล กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น