xs
xsm
sm
md
lg

“มั่นคงฯ” แจงกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 71.81

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นางสุธิดา สุริโยดร
“มั่นคงเคหะการ” ยังเติบโต ระบุไตรมาส 1 รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเกือบ 100 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.06% ขณะที่ตัวแปรกระทบกำไรคือ ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร และการยกระดับภาพลักษณ์องค์กรในระยะยาว ลงทุนโครงการหนุนรายได้สม่ำเสมอ

นางสุธิดา สุริโยดร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาส 1 ของปี 2560 บริษัท และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 26.62 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.03 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ 94.41 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 0.10 บาท ของปีก่อน คิดเป็นผลกำไรลดลงจำนวน 67.80 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 71.81

โดยสาเหตุมาจากรายได้จากการขายและบริการในไตรมาสที่ 1 จำนวน 651.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95.5 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 555.77 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินธุรกิจโดยรวมเท่ากับ 247.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.66 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.06 ธุรกิจหลักที่ดำเนินการโดยบริษัท และบริษัทย่อย ประกอบด้วย

รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์มีจำนวน 583.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.49 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.33 เมื่อเทียบกับ 505.59 ล้านบาทของช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 36.47 สูงกว่าอัตรากำไรขั้นต้นในช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย ทำให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสนี้ จำนวน 212.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2559

กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการให้เช่าและบริการ รับรู้ในไตรมาสนี้จำนวน 42.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 24.33 ล้านบาท ของช่วงเดียวกันในปีก่อน จำนวน 18.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 76.41 โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการให้เช่าและบริการพื้นที่คลังสินค้า หรือโรงงานของบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 100 กลุ่มบริษัทมีกำไรขั้นต้นจากธุรกิจให้เช่าและบริการ รวมเท่ากับ 24.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 92.84 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 12.49 ล้านบาท

รายได้จากกิจการสนามกอล์ฟ และธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ สำหรับไตรมาสที่ 1 มีจำนวน รวมเท่ากับ 25.26 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวนเท่ากับ 25.84 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 บริษัท และบริษัทย่อยสามารถมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นทั้งในด้านจำนวนเงิน และอัตราส่วนกำไรขั้นต้นต่อรายได้จากการขายและบริการ ในส่วนของผลกำไรสุทธิที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน มีรายการสำคัญที่ทำให้มีผลการดำเนินงานลดลง ดังนี้

บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เท่ากับ 165.35 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 52.05 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.94 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เป็นผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ กรณีลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสิ้นสุดไปแล้วเมื่อเดือนเมษายน 2559 ส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการโอนของไตรมาสแรกปีนี้สูงกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการดังกล่าวได้สิ้นสุดไปแล้ว บริษัทยังสามารถรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรกของปีนี้ได้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 77.49 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.33 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 36 เท่ากับปีที่แล้ว

ทั้งนี้ หากไม่พิจารณาผลจากมาตรการดังกล่าว สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายในไตรมาสนี้ มีสัดส่วนใกล้เคียงกับไตรมาสแรกของปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อใช้ในการปรับภาพลักษณ์โครงการให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการยกระดับภาพลักษณ์องค์กร ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตรงใจผู้บริโภค และเป็นการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น

ตามที่บริษัทได้วางกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงของธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอให้กับบริษัทในระยะยาว บริษัทจึงจำเป็นต้องรับรู้ต้นทุน และค่าใช้จ่ายในช่วงแรก และจะสามารถรับรู้รายได้ที่สม่ำเสมอในระยะยาวเมื่อโครงการทยอยแล้วเสร็จ โดยในไตรมาสนี้กลุ่มบริษัทมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 25.95 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 109.24 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2559 โดยคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จ และเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2560

บริษัทมีรายได้จากการบวกกับหนี้สินที่หมดอายุความเป็นรายได้อื่น จำนวน 40 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ปี 2559.