“วรวรรณ” ชี้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ เป็นเงินร้อน เข้ามาลงทุนระยะสั้นของนักเก็งกำไร 2 ต่อ ตั้งแต่ต้นปีมีเงินทุนไหลออกไปแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท รวมกับปี 2559 ยอดเงินใหลออกไปทะลุ 17,800 ล้านบาท สาเหตุหลักยังมาจากเฟด ปรับขึ้นดอกเบี้ย คาดเมื่อตลาดหุ้นเอเซียปรับขึ้น เงินจะทยอยใหลกลับเข้ามา ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีนี้คาดแกว่งตัวผันผวน
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยมีการเคลื่อนไหวในทิศทางแกว่งตัวแบบผันผวนพิจารณาจากปี 2559 ที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวบวกขึ้นมาเกือบ 20% ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน
ขณะที่แนวโน้มการลงทุนในปีนี้นั้น มองว่าปัจจัยสนับสนุนหลักยังคงมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว และภาคการส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2559 ขณะที่ปัจจัยลบที่เข้ามากดดันตลาด ยังคงเป็นทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจน และมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ทำให้ส่งผลกระทบถึงกระแสเงินทุนไหลออกเป็นอย่างมาก แต่จากสถิติที่ผ่านมา ยังถือว่าไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีเงินทุนไหลออกนอกประเทศเพียง 3,000 ล้านบาท เทียบจากปี 2559 มีเงินทุนไหลออกสุทธิทั้งสิ้นที่ 17,800 ล้านบาท
ขณะที่ในส่วนของกรณีการผิดนัดชำระตั๋วบีอี ของบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ซึ่งผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินที่ครบกำหนดชำระเมื่อวันที่ 16 มี.ค.60 จำนวนวงเงิน 150 ล้านบาทนั้น ส่วนตัวมองว่า ไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ.ที่มีอยู่จำนวน 22 แห่ง เนื่องจากกรณีดังกล่าวมาจากการเสนอขายของ บลจ.โซลาริส เพียงรายเดียว ซึ่งจะผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ และใช้บริการของ บลจ.โซลาริส เท่านั้น ไม่กระทบต่อผู้ถือตั๋วบีอี ของบริษัทจดทะเบียนอื่น
“การตรวจสอบในปัจจุบันนี้มีความเข้มงวดอยู่พอสมควรแล้ว แต่นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล และรายละเอียดต่างๆ ให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุน ขณะที่ในส่วนของบทบาทหน้าที่ของ ก.ล.ต.นั้น ถือว่าเหมาะสม แต่ต้องแบกของร้อนไปด้วย และการใช้กฎข้อบังคับ หรือ Market Force เพื่อบีบบังคับให้เกิดการกระทำที่ถูกต้องตามกฎ ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะต้องพิจารณาตามความเหมาะสม”