xs
xsm
sm
md
lg

รบ.เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยและต่างชาติ ร่วมหุ้นส่วนพัฒนาลงทุนในประเทศไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นายกฯ เปิดงาน Opportunity Thailand เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนไทย และต่างชาติ ร่วมหุ้นส่วนพัฒนาลงทุนในประเทศไทย รองนายกฯ “สมคิด” ย้ำชัดปี 60 จีดีพีไทยเติบโตได้ 3.5-4.0% เผยโอกาสกำลังเป็นของไทย บ้านเมืองสงบ การเมืองมีเสถียรภาพ ประชาชนมีขวัญกำลังใจ ประชาชนได้ชื่นชมในหลวงรัชกาลที่ 10 และพระสังฆราชองค์ใหม่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “โอกาสกับประเทศไทย 4.0” ในงานสัมมนาและนิทรรศการ “Opportunity Thailand” ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โดยระบุว่า การปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจที่เน้นคุณค่า (Vale-Based Economy) และเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven Economy) รัฐบาลได้ดำเนินการปรบปรุงแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถส่งเสริม และสนับสนุนภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎหมายด้านการลงทุนที่สำคัญ 2 ฉบับ คือ การปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน และ พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว

ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ เพื่อก้าวข้ามไปสู่โมเดลใหม่ของประเทศที่เรียกว่า “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งเป็นโมเดลของเศรษฐกิจที่เน้นคุณค่า และเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม และเตรียมบุคลากรไทยให้มีความพร้อมรองรับความต้องการของตลาด และผู้ประกอบการที่จะมาลงทุนในประเทศ และพร้อมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศที่มุงไปสู่เทคโนโลยี และนวัตกรรม

ดังนั้น นับจากนี้ไปการลงทุนของภาคเอกชนจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับเปลี่ยนประเทศสู่ “ประเทศไทย 4.0” ตลอดจนช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง และเติบโตได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น รัฐบาลได้นำ “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์” มาเป็นตัวขับเคลื่อนในการยกระดับภาคอุตสาหกรรม และบริการที่เรามีพื้นฐานดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น และนำความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากร และความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทยมาพัฒนาให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น

ประเทศไทยนับเป็นประเทศหนึ่งในอาเซียน ที่มีความพร้อม และศักยภาพสูงที่จะเข้ามาเป็นแกนกลางในการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีแรงดึงดูดใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่ส่วนตัวมองว่า จะใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ หรือจะพึ่งการผลิตสินค้าเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องมีการคิดใหม่ เปลี่ยนแปลง ปฏิรูป ว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งที่ประเทศไทยมีอยู่ มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งสิ่งที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศ คือ การส่งเสริมอุตสาหกรรม 4 ประเภท เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่/หุ่นยนต์/การเกษตร/เทคโนโลยีชีวภาพ โดยการนำวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ นอกจากนั้น จำเป็นต้องส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เป็นอนาคต เป็นสิ่งสำคัญในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบ

นอกจากนี้ รัฐบาลจะมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย และเทคโนโลยีแล้ว รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเชิงพื้นที่เพื่อกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่างๆ ในประเทศอย่างทั่วถึง ซึ่งดำเนินการแล้ว ได้แก่ การพัฒนาพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านในรูปของ “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” ทั้ง 10 จังหวัด และการพัฒนาพื้นที่ตอนในโดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงของห่วงโซ่มูลค่าในภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ในรูปแบบคลัสเตอร์ และที่สำคัญรัฐบาลได้กำหนดนโยบายการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีนโยบายที่จะเร่งการพัฒนาความพร้อมในทุกด้านเพื่อรองรับการลงทุน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งด้านสาธารณูปโภค ระบบคมนาคมขนส่งและลอจิสติกส์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการอำนวยความสะดวกในรูปแบบ One Stop Service เพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจให้มีความสะดวกรวดเร็วที่สุด และได้ตั้งเป้าหมายให้พื้นที่ EEC เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ดีที่สุด และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และหากมีการเชื่อมโยงการพัฒนาในลักษณะคลัสเตอร์ เชื่อมโยงกับระบบคมนาคม เชื่อมโยงไปถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนได้ด้วย ก็จะสามารถขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุนของภูมิภาคได้อย่างแท้จริง

นายกรัฐมนตรีให้ความมั่นใจนักลงทุนว่า ทุกอย่างจะต้องเดินไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ตลอด 20 ปีข้างหน้า ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาก็ต้องมีการสานต่อ พร้อมทั้งเชิญชวนนักลงทุนจากทั้งไทย และต่างชาติเข้าร่วมในการลงทุน และต่อยอดธุรกิจของตนเองให้มากขึ้น

“ขอให้ทุกคนอดทนกับระยะเวลาที่เรากำลังพัฒนาตรงนี้ให้ได้ ไม่มีประเทศใดที่จะพัฒนาได้ในวันเดียวเหมือนกับกรุงโรม ถ้าสร้างเร็ววันเดียวก็พังง่ายเหมือนปราสาททราย ประเทศเราสร้างมา 70 ปีภายใต้พระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งต้องทำต่อในรัชกาลที่ 10 ยืนยันว่า กลุ่มอีอีซี จะเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน อยากให้ทุกคนร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไทย ให้เห็นถึงอนาคตในอีก 20 ปีข้างหน้า” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาเรื่อง “การขยายตัวของไทยท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก” ว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ได้เกิดปรากฏการณ์แสวงหาความร่วมมือของชาติในเอเชีย ซึ่งต่างตระหนักดีว่า สิ่งที่มีคุณค่ามิได้อยู่ที่การมีทรัพยากรหลากหลาย และความอุดมสมบูรณ์ แต่อยู่ที่การเชื่อมโยงของชาติในเอเชีย เพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเราต้องนำจุดแข็งของประเทศมาเชื่อมโยงกับจุดแข็งของประเทศอื่น และถักทอให้เป็นห่วงโซ่คุณค่าของโลก

สำหรับประเทศไทยมีจุดแข็งหลายประการที่เป็นเอกลักษณ์ และสามารถผสานเข้ากับ Value Chain ของเอเชีย และของโลก รัฐบาลจึงมั่นใจที่จะสร้าง และพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตในหลายอุตสาหกรรม และบริการที่เรามีความเข้มแข็ง เช่น การเกษตร การท่องเที่ยว การแพทย์ การผลิตรถยนต์แห่งอนาคต รวมถึงศูนย์กลางการบิน เพื่อเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว และลอจิสติกส์

รัฐบาลจึงได้เร่งการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ แก้ไขปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ของภาคธุรกิจ และพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นแหล่งรองรับการลงทุนของโลก เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นแหล่งรองรับการลงทุนชั้นนำ และเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอย่างแท้จริง

ที่สำคัญ รัฐบาลกำลังพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ทั้งด้านสาธารณูปโภค ระบบคมนาคมขนส่ง และลอจิสติกส์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการอำนวยความสะดวกในรูปแบบ One Stop Service และตั้งเป้าหมายให้พื้นที่ EEC เป็นมหานครแห่งอนาคต เป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน การขนส่งของภูมิภาค และเป็นประตูสู่เอเชีย

“โครงการ EEC จะเป็นจุดสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) มาแล้ว และความได้เปรียบเรื่องที่ตั้งตามธรรมชาติที่เป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคจะช่วยดึงดูดความสนใจของนักลงทุนมากขึ้น”

นายสมคิด ระบุอีกว่า ประเทศในเอเชียกำลังขยับตัว เพื่อสร้างความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าต่อไป โดยเกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่จะเชื่อมโยงเศรษฐกิจในภูมิภาค และเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป

“การสร้างความเติบโต และพัฒนาของไทยจะต้องมีความสัมพันธ์ในลักษณะ Strategic Partnership กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV เพราะเราเชื่อว่า ความเจริญรุ่งเรืองในระดับภูมิภาคจะเป็นพลังแม่เหล็กดึงดูดความสนใจจากโลก ดึงดูดการลงทุน และการท่องเที่ยวจากโลก ซึ่งประเทศไทยก็มั่นใจว่า นักธุรกิจนักลงทุนที่เข้าร่วมงานในวันนี้ พร้อมที่จะเป็นพันธมิตรที่จะร่วมสร้างโอกาสแห่งอนาคตของประเทศ และในภูมิภาคแห่งนี้” นายสมคิด กล่าว

ขณะนี้ไทยกำลังเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยในส่วนของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนั้น จะมีการจัดตั้งกองทุนฯ เพื่อเสนอขายให้กับประชาชนในช่วงกลางปีนี้ ขณะเดียวกัน ได้ขับเคลื่อนความร่วมมือในกลุ่ม CLMV เพื่อพัฒนาไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่การพัฒนาเพื่อมุ่งประโยชน์ของไทยเพียงลำพังประเทศเดียว

นายสมคิด กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ของประเทศมีความมั่นคงต่างจากช่วง 10 ปีก่อนที่เผชิญวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับนับตั้งแต่ปี 58 และคาดว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.5-4.0% โดยปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจ 4 ประการ คือ 1.การเมืองมีเสถียรภาพ 2.นโยบายที่ชัดเจน 3.ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง และ 4.เศรษฐกิจของประเทศมีการเจริญเติบโต

“ช่วงเวลานี้มีความเหมาะสมมากสุด เศรษฐกิจไต่ระดับดีขึ้น สถานการณ์การเมืองค่อนข้างนิ่ง ไม่มีอะไรที่เหมาะไปกว่านี้แล้ว หวังว่างานนี้จะสปาร์กความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ ความขัดแย้งต่างๆ ขอให้หมดไป แล้วหันหน้ามาช่วยกัน อย่างดึงความรุนแรงกลับมาอีก ถ้าพลาดโอกาสนี้แล้วจะเสียใจ”

นายสมคิด กล่าวว่า การพัฒนา EEC ใช้งบประมาณรัฐบาล การร่วมลงทุนกับเอกชนรูปแบบ PPP และกลางปีนี้กองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ เตรียมขายหน่วยลงทุนให้ประชาชน นักลงทุนไทย และต่างชาติ ขณะนี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา อุปสรรค สร้างความโปร่งใส โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างในอุตสาหกรรมการบิน เชื่อมั่นว่า นโยบายเหล่านี้จะร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ร่วมกับกลุ่มประเทศ CLMV เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวจากทั่วโลก เพื่อร่วมกันเติบโต โดยไทยพร้อมเป็นประตูเข้าสู่ภูมิภาค ขณะนี้จีดีพีไทยคาดว่า เติบโตร้อยละ 3.5-4.0 หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมา เติบโตจากร้อยละ 0.8 เพิ่มมาเป็น 2.8 ในปี 2559 ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาระหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ร้อยละ 45 ยังอยู่ในสัดส่วนกู้เงินมาพัฒนาประเทศได้

“บ้านเมืองสงบ การเมืองมีเสถียรภาพ ประชาชนมีขวัญกำลังใจ ประชาชนได้ชื่นชมในหลวงรัชกาลที่ 10 และพระสังฆราชองค์ใหม่ จากผลสำรวจของเจโทร วัดความเชื่อมั่นของนักลงทุนญี่ปุ่นล่าสุด ดีขึ้นมาก ด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญกับการเมืองมีเสถียรภาพ นโยบายไม่เปลี่ยนแปลง มีการปฏิรูปด้านต่างๆ ช่วงนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โอกาสในอนาคตกำลังเข้ามาสู่ประเทศไทย แต่ไทยต้องการพันธมิตรผู้รู้ใจ และยินดีต้อนรับนักลงทุนต่างชาติเข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วนพัฒนาประเทศไทยครั้งนี้ รัฐบาลขอดูแลนักลงทุนอย่างดีที่สุด”

ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวในหัวข้อ “การลงทุนใหม่ เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมใหม่” ว่า การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จะมี พ.ร.บ.ออกมาดูแลเป็นการเฉพาะ ซึ่งจะทำให้โครงการเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ตามแผนพัฒนา EEC จะมีทั้งหมด 15 โครงการ มูลค่าราว 1.5 ล้านล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ ระยอง โดยในช่วง 5 ปีแรก จะดำเนินการนำร่อง 5 โครงการ ประกอบด้วย

1.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 3 ล้านคน พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบินในภาคตะวันออก

2.โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟสที่สาม ให้สามารถรองรับตู้สินค้าเพิ่มขึ้นจาก 7 ล้านทีอียู เป็น 18 ล้านทีอียู

3.โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง สามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 10 ล้านคน, รถไฟทางคู่เชื่อมต่อท่าเรือเข้าไปนิคมอุตสาหกรรม, เส้นทางมอเตอร์เวย์ใหม่รองรับการเดินทาง และขนส่งสินค้า

4.โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 สาขา ได้แก่ อุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี, อุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมยา, อุตสาหกรรมการบิน เป็นต้น

5.โครงการพัฒนาเมืองใหม่ ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เอื้อต่อภาคธุรกิจ SME สถาบันการศึกษา ศูนย์กลางวิจัย และพัฒนาเพื่อเป็นเมืองใหม่ โดยกำหนดให้ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นเมืองใหม่แทนกรุงเทพฯ ที่มีความแออัดแล้วในปัจจุบัน, จ.ชลบุรี กำหนดให้เป็นเมืองแห่งการศึกษานานาชาติ, เมืองพัทยากำหนดให้เป็นเมืองท่องเที่ยวนานาชาติ
กำลังโหลดความคิดเห็น