xs
xsm
sm
md
lg

“โกลเบล็ก” ลุ้นหุ้นไทยปี 60 ทดสอบ 1,750 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บล.โกลเบล็ก เผยหุ้นไทยปี 60 ได้แรงหนุนจากมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ หนุนกรอบดัชนีแกว่งที่ระดับ 1,320 - 1,750 จุด แม้เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อ fund flow แนะลงทุนกลุ่มกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ชู CK, SYNTEC, TRC ด้านราคาทองคำปรับลดลงต่อจากแรงกดดันเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แนะกลยุทย์ขึ้นขาย ลงซื้อโดยให้แนวรับ 1,050 - 1,020 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,270 - 1,330 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2560 ว่ามีแนวโน้มผันผวนมากกว่าปี 2559 ที่ผ่านมาจากกระแสคาดการณ์เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้งซึ่งส่งผลกระทบต่อ fund flow และความไม่แน่นอนของ BREXIT

ทั้งนี้ยังมีปัจจัยบวกหนุนจากการโครงการขนาดใหญ่เดินหน้าต่อทั้ง Action Plan ด้านคมนาคมขนส่ง 36 โครงการวงเงิน 8.9 แสนล้านบาท โดยคาดจะเห็นการเริ่มประมูลและเซ็นสัญญาในช่วงครึ่งปีแรก 2560 และลงมือก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลัง 2560

อีกทั้งธนาคารกลางของแต่ละประเทศส่วนใหญ่ยังใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัว โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต่ออายุมาตรการ QE ออกไปอีก 9 เดือน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ และค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเป็นผลดีต่อการส่งออกที่มีฐานต่ำในปี 2559 รวมถึงการเลือกตั้งช่วงปลายปี 2560 ตาม Roadmap ของ คสช.

ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2560 ให้กรอบดัชนีในปี 2560 ไว้ที่ระดับ 1,320 - 1,750 จุด โดยอ้างอิงกับการคาดการณ์ตัวเลข GDP เติบโตที่ระดับ 3-4% บนสมมติฐาน EPS growth ราว 12.4% และ P/E อยู่ที่ระดับ 13 - 17 เท่า โดยยังคงคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจโลกทรงตัวแถว 3% แต่คาดเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตดีกว่าปี 2559 และเศรษฐกิจยูโรโซนฟื้นตัวช้าๆ แต่มีปัญหาความไม่แน่นอนจาก BREXIT และเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าเป้าหมายทำให้ ECB ยังต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย รวมทั้งปัญหาการเมืองที่ยังไม่แน่นอนหลังการเลือกตั้งในฝรั่งเศสและเยอรมนี เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตแต่ไม่มาก GDP อยู่แถว 1% ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจาก 6.7% ในปี 2559 และลดเหลือ 6.5% ในปี 2560

ดังนั้นแนะนำลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีศักยภาพในการเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการเดินหน้าโครงการลงทุนด้านคมนาคมและสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยภาครัฐ อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แนะนำ CK, SYNTEC, TRC ได้ประโยชน์จากการเปิดประมูลงานภาครัฐและผลการดำเนินงานที่มีศักยภาพในการเติบโต และรองลงมากลุ่มส่งออก เช่น อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่า แนะนำ CPF, KCE และกลุ่มธนาคาร แนะนำ TISCO เนื่องจากภาพรวมสินเชื่อเช่าซื้อมีแนวโน้มปรับดีขึ้นเป็นลำดับ

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ราคาทองคำในปี 2560 ยังอยู่ในทิศทางของแนวโน้มลงต่อ โดยปัจจัยที่จะยังกดดันราคาทองมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุดผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดระหว่าง 13-14 ธ.ค.2559 ที่ผ่านมามีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% สู่ระดับ 0.50-0.75% พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2560 ครั้งละ 0.25% โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมระบุว่าตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลางนับตั้งแต่ช่วงกลางปี2559

ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดเชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วงก่อนหน้าจะสามารถรองรับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้ ซึ่งจะส่งผลให้ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในแนวโน้มขึ้นตลอดปี 2560 อีกทั้งนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ที่เน้นดึงการลงทุนกลับมายังประเทศ พร้อมทั้งใช้นโยบายด้านการลดภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศ และนักลงทุนเชื่อมั่นว่านโยบายด้านเศรษฐกิจของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เงินทุนที่ไปลงทุนนอกประเทศสหรัฐไหลเวียนกลับมายังในประเทศ การเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐให้แข็งค่าขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยลบโดยตรงต่อราคาทองคำ

ประกอบกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินหรือ QE เพิ่มเติมอีก 9 เดือน โดยจากเดิมที่มาตรการจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2560 เป็นสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2560 และอาจมีการขยายระยะเวลาเพิ่มเติมได้หากอัตราเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่ ECB คาด จะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินยูโรเป็นแรงหนุนต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ

ส่วนแนวโน้มที่จีนจะมีการเพิ่มสำรองทองคำเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเสถียรภาพของมูลค่าของเงินหยวนหลังจากที่ไอเอ็มเอฟเพิ่มสกุลเงินหยวนเป็นหนึ่งในสกุลเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2559 โดยปัจจุบันประเทศจีนเป็นผู้ผลิตทองรายใหญ่ที่สุดของโลกประมาณ 25% ของปริมาณการผลิตทองคำ ขณะที่เป็นผู้บริโภคอันดับ 1 - 2 ของโลกมาตลอด รวมถึงเป็นผู้นำเข้าทองคำรายใหญ่ของโลก

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนทองคำในปี 60 จะเน้นไปทางด้านเปิดสถานะ SHORT เพื่อเล่นรอบในทิศทางของขาลง โดยจะเป็นการรอเปิดสถานะ SHORT ช่วงที่ราคาทองมีการฟื้นตัว เพื่อลดความเสี่ยงระยะสั้นของราคาทองที่ปรับลงมามากนับแต่กลางปี 2559 โดยให้แนวรับ 1,050 - 1,020 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,270 - 1,330 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
กำลังโหลดความคิดเห็น