xs
xsm
sm
md
lg

เพอร์เฟคฯ ลุยลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษหวังสร้างรายได้ระยายาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

กรมธนารักษ์ ได้จัดให้มีพิธีลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด  ระหว่าง กรมธนารักษ์ โดย (ซ้ายมือ) นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์  กับบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) โดย นายชายนิด อรรถญาณสกุล (ขวามือ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับสิทธิการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด
“บิ๊กเพอร์เฟค” มั่นใจศักยภาพ จ.ตราด ทุ่ม 5,000 ล้านบาทผุด “เขตเศรษฐกิจพิเศษตราด” ผุดตลาดค้าชายแดน โรงพยาบาล โรงแรมฯ ดิวตี้ฟรีฯ หวังเพิ่มพอร์ตรายได้ระยะยาว เล็งดึงพันธมิตรร่วมลงทุน คาดก่อสร้างเสร็จภายใน 6-8 ปี พร้อมชวนนักลงทุนช่วยพัฒนาตราดเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวให้เติบโต



นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยภายหลังลงนามในสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด เนื้อที่ 895 ไร่ จากกรมธนารักษ์ สัญญาเช่า 50 ปี และต่ออายุได้อีก 50 ปี อัตราค่าเช่า 2,200 บาท ตลอดอายุสัญญา เริ่มจ่ายงวดแรก 200 ล้านบาท ในวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือทยอยจ่ายเป็นรายปี โดยในช่วงก่อสร้างสามารถผ่อนชำระค่าเช่าได้

จ.ตราด ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม มีเกาะที่สวยงามมากถึง 52 เกาะ มีชายหาดยาวถึง 15 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับหัวหิน ที่มีชายหาดยาวเพียง 7 กิโลเมตร พัทยา 4 กิโลเมตร เท่านั้น อีกทั้งยังมีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา ซึ่งพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวร่วมกันด้วยเหมาะแก่การลงทุน นอกจากนี้ บางกอกแอร์เวย์มีแผนพัฒนาสนามบินนานาชาติ จังหวัดตราด เป็นสนามบินนานาชาติ ซึ่งจะสามารถเชื่อมต่อไปยังกัมพูชา หรือนครวัด ได้ ซึ่งจะเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่สำคัญในอนาคต เพราะใช้เวลาเดินทางจากสนามบินตราด ไปเสียมเรียบ เพียง 1 ชั่วโมง เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีท่าเรือคลองใหญ่ ซึ่งจะพัฒนาเป็นท่าเรือสำหรับการค้า และการท่องเที่ยว โดยต้องการพัฒนาการท่องเที่ยว จ.ตราด ให้ติด 1 ใน 5 ด้านการท่องเที่ยวรองจากภูเก็ต พัทยา หัวหิน เชียงใหม่ เป็นต้น และตั้งเป้าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านคน เป็น 5 ล้านคนต่อปี” นายชายนิด กล่าว

สำหรับแนวการการพัฒนาบริษัทฯ ได้เสนอโครงการลงทุนภายใต้วิสัยทัศน์ “Golden Gateway” เปิดประตูการค้า และการท่องเที่ยวสู่ภูมิภาค วางเป้าหมายจังหวัดตราด ให้เป็น “เมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวนานาชาติ เมืองอาหารปลอดภัย และเมืองบริการการค้าระหว่างประเทศครบวงจร” โดยบริษัทเตรียมตั้งบริษัทลูกเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวโดยเฉพาะ ซึ่งคาดว่าจะจัดตั้งแล้วเสร็จภายในปี 2560 โดยคาดจะใช้เม็ดเงินลงทุนกว่า 5,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบสำหรับพัฒนาราว 3,000 ล้านบาท และอีก 2,200 ล้านบาท เป็นค่าเช่าที่ดิน ซึ่งหลังจากนี้บริษัทเตรียมจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน และคาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ปลายปี 2560 เป็นต้นไป ใช้เวลาก่อสร้างราว 6-8 ปี ซึ่งในปี 61 บริษัทจะเปิดให้เช่าพื้นที่พาณิชย์ได้

ภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษตราดจะประกอบไปด้วย 4 โซน คือ 1.โซนพาณิชยกรรม ประกอบด้วย ตลาดค้าชายแดน และตลาดชุมชน, ตลาดผัก ผลไม้ สินค้าทางการเกษตรรูปแบบคล้ายตลาด 4 มุมเมือง, ศูนย์แสดงสินค้าท้องถิ่น และนานาชาติ, ร้านค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี), ศูนย์สินค้า OTOP และลานกิจกรรม และโรงพยาบาล

2.โซนพักผ่อนหย่อนใจ ได้แก่ สวนสนุก, โรงแรม 2 แห่ง, 3.โซนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ เขตอุตสาหกรรมการเกษตร และ 4.โซนพื้นที่สีเขียว ได้แก่ ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายแลน, อนุสาวรีย์ และพิพิธภัณฑ์, สวนสาธารณะ, พื้นที่สีเขียว และแหล่งน้ำ และศูนย์บริการชุมชน

บริษัทเตรียมดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนในแต่ละโครงการ โดยเบื้องต้น บริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 60% ส่วนที่เหลือเป็นพันธมิตร โดยบริษัทคาดว่า โครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้จากค่าเช่าปีละ 400-500 ล้านบาท/ปี จากการเปิดให้เช่าทั้งในส่วนของตลาดการค้าชายแดน ที่จะทำคล้ายกับรูปแบบของตลาดไท ซึ่งจะมีสินค้าด้านการเกษตรค้าขายระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ร้านปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) รายได้จากโรงแรม เป็นต้น

“บริษัทจะใช้เงินลงทุน หรือกระแสเงินสดของบริษัททั้งหมดในก้อนแรก 3,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเพียงพอ และคาดว่าจะคืนทุนภายใน 6 ปี โดยมีผลตอบแทนการลงทุน (ไออาร์อาร์) ประมาณ 10-20% ต่อปี โดยรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากค่าเช่าที่ และกิจการโรงแรม คาดว่ารายได้จะเริ่มเข้าบริษัทในช่วงปีที่ 3 ของการลงทุน หรือประมาณปี 2563 เป็นต้นไป รายได้ในส่วนนี้จะทำให้บริษัทมีรายได้ที่แน่นอนไปตลอด 50 ปีของสัญญา” นายชายนิด กล่าว

ด้าน นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า กรมธนารักษ์ได้ร่วมกับพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ซึ่งได้รับสิทธิการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตราด โดยโครงการลงทุนภายใต้วิสัยทัศน์ Gloden Gateway เปิดประตูกากรค้า และการท่องเที่ยวสู่ภูมิภาค ซึ่งตั้งเป้าหมายให้เป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวนานาชาติ เมืองอาหารปลอดภัย และเมืองบริการการค้าระหว่างประเทศครบวงจร มูลค่าการลงทุนกว่า 3 พันล้านบาท ไม่ร่วมค่าเช่า ค่าธรรมเนียม

สำหรับแผนแม่บทการใช้ประโยชน์ในที่ดินแบ่งโซนนิ่งเป็นโซนพื้นที่สีเขียว ประกอบด้วย ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลน อนุสาวรีย์ และพิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะพื้นที่สีเขียว และแหล่งน้ำ ศูนย์บริการชุมชน ศูนย์ราชการโซนพาณิชยกรรม ประกอบด้วย โรงพยาบาล ศูนย์แสดงสินค้าท้องถิ่น และนานาชาติ ตลาดนัดชุมชน และลานกิจกรรม และโซนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ เป็นเขตอุตสาหกรรมการเกษตร เป็นต้น

ทั้งนี้ เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดตราด 6 เท่า หรือจากปัจจุบันมีรายได้ด้านการท่องเที่ยว 1.31 หมื่นล้านบาท เป็น 8.04 หมื่นล้านบาท เมืองอาหารปลอดภัย จากเดิมมีรายได้ 1.77 หมื่นล้านบาท เป็น 5 หมื่นล้านบาท เมืองบริการการค้าระหว่างประเทศครบวงจร จากเดิมรายได้ 2.61 หมื่นล้านบาท เป็น 6.5 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ กรมธนารักษ์จะดำเนินการขับเคลื่อนในการเปิดประมูลสรรหาเอกชนลงทุนพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย มุกดาหาร และตาก ประมาณเดือน ม.ค.60 โดยแผนดำเนินงานได้วางเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในปี 60 โดยที่ผ่านมา กนอ.ให่เช่า 3 พื้นที่ ได้แก่ ตาก (บางส่วน) สระแก้ว สงขลา และเอกชนเช่า 4 พื้นที่ ได้แก่ ตาก (บางส่วน) ตราด มุกดาหาร และหนองคาย ซึ่งที่ผ่านมา ได้ให้ กนอ.เช่าที่ดินราชพัสดุ เพื่อพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วแล้ว ส่วนอีก 2 แปลง คือ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก (บางส่วน) และสงขลา และล่าสุด บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯ ได้ชนะการประมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด

คาดปี 60 แนวโน้มอสังหาฯ สดใส

นายชายนิด กล่าวต่อว่า แนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 60 คาดว่าจะมีการเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ที่คาดว่า ตลาดจะชะลอตัวจากปัจจัยลบภายในประเทศโดยเฉพาะในไตรมาส 4 ทำให้ฉุดตลาดโดยรวมชะลอตัวลง รวมถึงการที่โครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐออกมาล่าช้าในปีนี้ ส่งผลฉุดตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 59 ชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายรายได้เลื่อนเปิดโครงการไปเป็นปี 60 ทำให้คาดว่า ตลาดในปี 60 จะมีความคึกคักมากขึ้น รวมถึงความชัดเจน และการเร่งการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐ จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนมากขึ้น เพิ่มความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของประชาชน และทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์สามารถพัฒนาโครงการในทำเลใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น

“โครงการอินฟราสตรักเจอร์ต่างๆ ในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นโครงการลงทุนรถไฟฟ้าสายสีส้ม สีชมพู สีเหลือง จะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย และภาคอสังหาในปีหน้า หลังจากปีนี้มีความล่าช้าออกไป ซึ่งการขยายโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ จะทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ มีความมั่นใจในการลงทุนตาม และเป็นการเปิดทำเลพัฒนาในพื้นที่ใหม่ๆ ด้วย” นายชายนิด กล่าว

ส่วนแนวโน้มราคาขายอสังหาริมทรัพย์ในปี 60 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นผลมาจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี แม้ว่าราคาวัสดุก่อสร้าง และค่าก่อสร้างจะยังทรงตัวอยู่ อย่างไรก็ตาม การซื้อที่ดินในปีหน้าคงต้องเผชิญกับราคาที่แพงขึ้น ซึ่งจะเห็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดจับมือร่วมกันซื้อที่ดินแปลงใหญ่ และแบ่งกันพัฒนาโครงการ โดยในปีนี้บริษัทได้มีการขายที่ดินแปลงใหญ่ย่านกรุงเทพกรีฑา และรังสิต ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ อาทิ พฤกษา, แสนสิริ และเอสซี

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะมีผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีหน้า คือ ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยในประเทศ และความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ จะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร ซึ่งความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน และการตัดสินใจซื้อของทั้งผู้ประกอบการ และลูกค้า


กำลังโหลดความคิดเห็น