xs
xsm
sm
md
lg

“TU” ทุ่มงบ 575 ล้านเหรียญสหรัฐ เข้าซื้อ เรด ล็อบสเตอร์ (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU
ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU อนุมัติงบลงทุน 575 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2 หมื่นล้านบาท ลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจร้านอาหารของบริษัท เรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด (Red Lobster Seafood Co.) ในประเทศสหรัฐอเมริกา เจ้าของธุรกิจเครือข่ายร้านอาหาร “Red Lobster” และภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยอมรับเป็นการกระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจใหม่ ต่อยอดอุตสาหกรรมอาหารทะเลที่เกี่ยวเนื่องของบริษัท คาดรับรู้กำไรต่อหุ้น หรือ EPS เพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรสุทธิที่อาจได้รับจาก Red Lobster โดยเงินลงทุนที่ใช้จะมาจากเงินกู้ระยะสั้นของสถาบันการเงินในประเทศไม่เกิน 20,100 ล้านบาท พร้อมเตรียมออกหุ้นกู้เสริมสภาพคล่องวงเงิน 13,000 ล้านบาทภายในปีนี้ เพื่อใช้คืนเงินกู้ระยะสั้นที่ใกล้หมดวาระ



นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU กล่าวถึงการอนุมัติงบลงทุนกว่า 575 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัท เรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด (Red Lobster Seafood Co.) ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารในชื่อ “เรด ล็อบสเตอร์” โดยได้เข้าซื้อหุ้นจำนวน 49% ของโครงสร้างการบริหารทั้งหมด จากกองทุนโกลเดนเกท แคปิตอล ซึ่งการเข้าลงทุนในหน่วยลงทุนหุ้นสามัญ จำนวน 1.69 ล้านหน่วยของ Red Lobster Master Holdings, L.P. (Red Lobster) ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของรัฐดัลลาแวร์ และหุ้นกลุ่ม H ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GGCOF RL Blocker, LLC (RL LLC) ซึ่งเป็นบริษัทประเภทจำกัดความรับผิดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของรัฐดัลลาแวร์ และเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนใน Red Lobster โดยการเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม H ดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนในหน่วยลงทุนสามัญของ Red Lobster เพิ่มเติมอีก 8.13 แสนหน่วย ทั้งนี้ การเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนที่ปรับลดแล้วเท่ากับ 25% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ Red Lobster

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้อนุมัติการลงทุนหน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้ จำนวน 1.62 ล้านหน่วยของ Red Lobster และหุ้นกลุ่ม G ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ RL LLC โดยการเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม G ดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนในหน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้ของ Red Lobster เพิ่มเติมอีกจำนวน 7.8 แสนหน่วย ทั้งนี้ การเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนที่ปรับลดแล้วเท่ากับ 24% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ Red Lobster ซึ่งผู้ซื้อจะซื้อตราสารทั้งสองประเภทจากผู้ขายในราคา 345 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนเพิ่มเติมใน Red Lobster และ RL LLC ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยสิทธิดังกล่าวไม่มีลักษณะบังคับให้ผู้ซื้อจำต้องใช้สิทธิลงทุนเพิ่มเติมแต่อย่างใด ซึ่งการเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 575 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อเมื่อการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้น

“ธุรกิจของ Red Lobster ประกอบด้วยการดำเนินธุรกิจเครือข่ายร้านอาหาร Red Lobster และธุรกิจสินค้า อุปโภคบริโภคบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ Red Lobster รวมถึงการให้สิทธิในการประกอบธุรกิจ (Franchise) ร้านอาหาร Red Lobster โดยในช่วงระยะเวลา 12 เดือนก่อนเดือนสิงหาคม 2559 โดย Red Lobster มียอดขายประมาณ 2,479 ล้านเหรียญสหรัฐ และมี Adjusted EBITDA ประมาณ 144 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม สำหรับแหล่งเงินทุนในครั้งนี้บริษัทฯ จะเข้าทำสัญญากู้ยืมระยะสั้นกับสถาบันการเงินในประเทศเป็นจำนวนไม่เกิน 20,100 ล้านบาท โดยเงินกู้ยืมมีกำหนดระยะเวลาชำระคืนภายใน 6 เดือนนับจากวันที่เข้าทำสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าว คาดว่าจะเพียงพอต่อการใช้ในการลงทุน ทั้งนี้ ธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจใหม่ ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสเข้าไปศึกษาทำความเข้าใจธุรกิจมากขึ้น โดยบริษัทฯ ได้สิทธิการออกเสียงกรรมการใน Red Lobster Seafood Co. จำนวน 2 ที่นั่ง และทำให้เรียนรู้งานได้รวดเร็วภายใน 2-3 ปี เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจร้านอาหาร ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้ประโยชน์จากการส่งวัตถุดิบ เช่น กุ้ง ปู และกุ้ง ล็อบสเตอร์ ให้กับร้าน Red Lobster โดยเฉลี่ยประมาณ 65 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 20 ปี”

นอกจากนี้ ในส่วนของสิทธิประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการลงทุนนั้น มองว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง และขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ เช่น การให้บริการร้านอาหารแบบค้าปลีกที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูปที่บริษัทฯ ทำอยู่ ทำให้บริษัทสามารถสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้าโดยตรง ซึ่ง Red Lobster ซึ่งมีมูลค่ากว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่า EPS จะเพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรสุทธิในอนาคต

อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ระยะยาววงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาทภายในปีนี้ และใช้เงินกู้สถาบันอีกส่วนหนึ่งเพื่อใช้คืนเงินกู้ระยะสั้นอายุ 6 เดือน จาก 3 สถาบันการเงิน คือ ธ.กรุงเทพ (BBL) ธ.ไทยพาณิชย์ (SCB) และ ธ.กรุงศรีอยุธยา (BAY) เพื่อจ่ายเงินลงทุน 49% ใน Red Lobster Seafood Co. คิดเป็นมูลค่า 575 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแบ่งเป็นชำระค่าหุ้นสามัญ 230 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 25% และเป็นหุ้นบุริมสิทธิ 345 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 24% ซึ่งมีระยะเวลาแปลงสิทธิเป็นหุ้นสามัญ 10 ปี โดยระหว่างนั้น จะจ่ายผลตอบแทน 8% ต่อปี ทั้งนี้ หลังการกู้ดังกล่าว อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทจะเพิ่มเป็น 0.91 เท่า จาก 0.7 เท่าในไตรมาส 2/59 โดยมีนโยบายจะควบคุม D/E ไม่เกิน 1 เท่า ขณะที่เงินกู้ของบริษัทมีต้นทุนการเงินเฉลี่ย 3.4% ส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาท

ขณะที่ในส่วนของเป้าหมายผลประกอบการนั้น บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยครึ่งปีแรกมีสัดส่วน 40-45% ของรายได้ทั้งปี ขณะที่กำไรปีนี้ คาดว่าจะดีกว่าปีก่อนหน้า เนื่องจากมีมาร์จิ้นดีขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ ได้ทำประกันความเสี่ยงค่าเงินทั้งค่าเงินปอนด์ เงินยูโร และเงินดอลลาร์สหรัฐ ไว้แล้ว โดยในช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงมาก หลังจากเกิดผลประชามติอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ทำให้แนวโน้มราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น และค่าเงินยูโรอ่อนตัวเช่นกัน และแนวโน้มปีหน้าค่าเงินยูโรก็ยังอ่อนค่า โดย TU มีรายได้จากธุรกิจในยุโรป สัดส่วน 30-35% สหรัฐอเมริกา สัดส่วน 30%

ทั้งนี้ ร้าน Red Lobster มีสาขามากกว่า 700 สาขาในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา 50 สาขาในเอเชีย 24 สาขาในประเทศญี่ปุ่น และ 7 สาขาในมาเลเซีย นอกจากนี้ มีโอกาสขยายร้านในแถบประเทศ Emerging Market โดยเฉพาะในเอเชีย ซึ่งการเข้าลงทุน Red Lobster ถือว่าเป็นการเจรจาเพื่อเข้าลงทุนที่ใหญ่สุดในปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปีมีการเข้าลงทุนร่วมทุนทั้งหมด 3 ราย รวม 73 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 2,555 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น