คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ประเด็นร้อนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นเรื่องดรามาที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียล จากต้นตอที่เฟซบุ๊กแฟนเพจสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มุ่งตรงไปถึงปลายทางคือ ทีมชาติไทย และ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือ
เริ่มจากที่จู่ๆผู้ดูแลแฟนเพจของบุรีรัมย์ฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของสโมสรและในอินสตาแกรมส่วนตัว เชิงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการที่มีใครบางคนยกย่องเชิดชู "ซิโก้" เกินความเหมาะสม และควรให้เครดิตความสำเร็จแชมป์ซีเกมส์ครั้งที่ผ่านมา ต่อ "โค้ชโชค" โชคทวี พรหมรัตน์ ที่คุมทีมไปแข่งขันมากกว่า โดยมี “ซ้อต่าย” กรุณา ชิดชอบ ประธานเชียร์ของทีมเข้ามาแสดงความเห็นว่าความจริงล้วนๆ จนเกิดกระแสไม่พอใจจำนวนมาก(รายละเอียดข้อความต่างๆไม่ขอนำมาแสดงในที่นี้) ก่อนที่รายแรกจะขอโทษพร้อมพักการทำหน้าที่เป็นแอดมินเพจ ส่วนรายหลังได้ออกมาชี้แจงแล้วเช่นกัน
จะว่าไปก็ไม่แปลกที่อาจจะมีบางคนมองต่างมุม เพราะตั้งแต่ที่ “ซิโก้” ออกมากล่าวก่อนทัวร์นาเมนท์ว่าจะให้ “โค้ชโชค” เป็นผู้คุมทีมไปสิงคโปร์ โดยมีหน้าที่คือคุมทีมซ้อมและแก้เกมข้างสนาม ส่วนตนจะเป็นฝ่ายตัดสินใจในการเลือก 11 คนแรกในแต่ละแมตช์ ตลอดจนการที่มีคลิปปรากฎออกมาว่าเจ้าตัวได้ต่อสายตรงจากประเทศไทยถึงแดนลอดช่องระหว่างช่วงพักครึ่ง เพื่อบอกแผนและแก้เกม พอทีมได้แชมป์ก็มีการพูดกันถึงประเด็นนี้ จึงดูเหมือนเป็นการทอนเครดิตที่เจ้าของฉายา “นกกระยางดำ” ควรจะได้รับไปเต็มๆ
แต่สำหรับผมที่ติดตามทีมงานชุดนี้ตั้งแต่เริ่มทัวร์นาเมนท์แรก ซีเกมส์ 2013 ที่เมียนมา ตามทำข่าวทั้งวันรายงานตัว เก็บตัว วันซ้อม วันแข่ง หลังวันแข่ง พูดได้เต็มปากว่าเครดิตทุกความสำเร็จที่ทัพ “ช้างศึก” ได้มาในช่วง 2 ขวบปีนี้ต้องยกให้สตาฟฟ์ทั้งชุด แม้ครั้งล่าสุด “ซิโก้” จะไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยก็ตาม เพราะอย่าลืมว่าเจ้าตัวต้องเป็นผู้รับผิดชอบผลงานทั้งหมดที่ออกมา ในฐานะเป็นหัวหน้าคณะและเป็นผู้ได้รับมอบหมายด้วยสัญญาจ้างจากสมาคมฟุตบอลฯแต่เพียงผู้เดียว
ที่สำคัญหากพูดกันตามจริงทีมชุดแชมป์ซีเกมส์ที่ผ่านมานั้นถูกวางรากฐานไว้หมดแล้วตั้งแต่ 2 ปีก่อน เรื่องระบบการเล่น รูปแบบการซ้อม นั้นถูกเซตมาอย่างดีแล้ว “ซิโก้” จึงกล้าให้โอกาส “เพื่อน” ทำหน้าที่คุมบังเหียนออกหน้าแทน ส่วนตนเองดูเกมในอีกมุมมองผ่านจอแก้ว โดยมีทีมงานที่เหลือช่วยบันทึกสถิติต่างๆ และต่อสายข้ามประเทศหารือร่วมกันในช่วงพักครึ่ง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานเป็นทีมอย่างแท้จริง
และไม่แปลกใจเลยว่าคำพูดแรกที่ โชคทวี กล่าวทันทีในห้องแถลงข่าวหลังคว้าแชมป์หมาดๆคือคำว่า “ผมต้องขอบคุณซิโก้ที่ให้โอกาสในครั้งนี้”
นอกจากนี้อดีตกองหลังทีมชาติไทย ยอมรับเองว่าตนมีส่วนกับฟอร์มการเล่นที่ออกมาดีของทีมเพียง 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือมาจากระบบทีมและตัวนักเตะที่เล่นร่วมกันมานาน ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ คุมเหล่าสตาร์ดังอยู่หมัดตลอด 20 กว่าวันบนแผ่นดินสิงคโปร์ พร้อมรักษาบรรยากาศ คลายความกกดดันต่างๆที่เกิดขึ้นในทีมตลอดทัวร์นาเมนท์แบบไร้ที่ติ อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์ความสามารถของตัวเองให้แฟนบอลทั้งประเทศได้เห็น เป็นเครดิตสำคัญที่ควรจะได้รับการเชิดชู เมื่อทุกอย่างลงตัวความสำเร็จจึงเกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นความหมายของคำว่า “Team behind Team” ที่ “ซิโก้” โพสต์ข้อความทิ้งไว้เป็นปริศนาก็ได้ เพราะช้างศึก ชุดใหญ่ และเล็ก ต่างมีการสลับออกฉากและซับพอร์ทหลังม่านกันอย่างลงตัว ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ในทีม ยืนยันว่ายังแน่นแฟ้นดีทุกประการ ตัวผมได้มีโอกาสถามกับกุนซือใหญ่ถึงกระแสที่เกิดขึ้น และเจ้าตัวตอบกลับมาว่า ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด แทบจะไม่ได้ติดตามรายละเอียดด้วยซ้ำ ก่อนทิ้งท้ายว่าถ้าจะมาคิดเรื่องตอบโต้ สู้เอาเวลาไปคิดแผนการอัด อิรัก ในเกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก นัดต่อไปดีกว่า
ผลงานกำลังดี ข้าศึกยังมีอยู่ตรงหน้า อย่ามาชักใบให้เรือเสียกันเองจะดีกว่า
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!***
ประเด็นร้อนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นเรื่องดรามาที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียล จากต้นตอที่เฟซบุ๊กแฟนเพจสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มุ่งตรงไปถึงปลายทางคือ ทีมชาติไทย และ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือ
เริ่มจากที่จู่ๆผู้ดูแลแฟนเพจของบุรีรัมย์ฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของสโมสรและในอินสตาแกรมส่วนตัว เชิงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการที่มีใครบางคนยกย่องเชิดชู "ซิโก้" เกินความเหมาะสม และควรให้เครดิตความสำเร็จแชมป์ซีเกมส์ครั้งที่ผ่านมา ต่อ "โค้ชโชค" โชคทวี พรหมรัตน์ ที่คุมทีมไปแข่งขันมากกว่า โดยมี “ซ้อต่าย” กรุณา ชิดชอบ ประธานเชียร์ของทีมเข้ามาแสดงความเห็นว่าความจริงล้วนๆ จนเกิดกระแสไม่พอใจจำนวนมาก(รายละเอียดข้อความต่างๆไม่ขอนำมาแสดงในที่นี้) ก่อนที่รายแรกจะขอโทษพร้อมพักการทำหน้าที่เป็นแอดมินเพจ ส่วนรายหลังได้ออกมาชี้แจงแล้วเช่นกัน
จะว่าไปก็ไม่แปลกที่อาจจะมีบางคนมองต่างมุม เพราะตั้งแต่ที่ “ซิโก้” ออกมากล่าวก่อนทัวร์นาเมนท์ว่าจะให้ “โค้ชโชค” เป็นผู้คุมทีมไปสิงคโปร์ โดยมีหน้าที่คือคุมทีมซ้อมและแก้เกมข้างสนาม ส่วนตนจะเป็นฝ่ายตัดสินใจในการเลือก 11 คนแรกในแต่ละแมตช์ ตลอดจนการที่มีคลิปปรากฎออกมาว่าเจ้าตัวได้ต่อสายตรงจากประเทศไทยถึงแดนลอดช่องระหว่างช่วงพักครึ่ง เพื่อบอกแผนและแก้เกม พอทีมได้แชมป์ก็มีการพูดกันถึงประเด็นนี้ จึงดูเหมือนเป็นการทอนเครดิตที่เจ้าของฉายา “นกกระยางดำ” ควรจะได้รับไปเต็มๆ
แต่สำหรับผมที่ติดตามทีมงานชุดนี้ตั้งแต่เริ่มทัวร์นาเมนท์แรก ซีเกมส์ 2013 ที่เมียนมา ตามทำข่าวทั้งวันรายงานตัว เก็บตัว วันซ้อม วันแข่ง หลังวันแข่ง พูดได้เต็มปากว่าเครดิตทุกความสำเร็จที่ทัพ “ช้างศึก” ได้มาในช่วง 2 ขวบปีนี้ต้องยกให้สตาฟฟ์ทั้งชุด แม้ครั้งล่าสุด “ซิโก้” จะไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยก็ตาม เพราะอย่าลืมว่าเจ้าตัวต้องเป็นผู้รับผิดชอบผลงานทั้งหมดที่ออกมา ในฐานะเป็นหัวหน้าคณะและเป็นผู้ได้รับมอบหมายด้วยสัญญาจ้างจากสมาคมฟุตบอลฯแต่เพียงผู้เดียว
ที่สำคัญหากพูดกันตามจริงทีมชุดแชมป์ซีเกมส์ที่ผ่านมานั้นถูกวางรากฐานไว้หมดแล้วตั้งแต่ 2 ปีก่อน เรื่องระบบการเล่น รูปแบบการซ้อม นั้นถูกเซตมาอย่างดีแล้ว “ซิโก้” จึงกล้าให้โอกาส “เพื่อน” ทำหน้าที่คุมบังเหียนออกหน้าแทน ส่วนตนเองดูเกมในอีกมุมมองผ่านจอแก้ว โดยมีทีมงานที่เหลือช่วยบันทึกสถิติต่างๆ และต่อสายข้ามประเทศหารือร่วมกันในช่วงพักครึ่ง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานเป็นทีมอย่างแท้จริง
และไม่แปลกใจเลยว่าคำพูดแรกที่ โชคทวี กล่าวทันทีในห้องแถลงข่าวหลังคว้าแชมป์หมาดๆคือคำว่า “ผมต้องขอบคุณซิโก้ที่ให้โอกาสในครั้งนี้”
นอกจากนี้อดีตกองหลังทีมชาติไทย ยอมรับเองว่าตนมีส่วนกับฟอร์มการเล่นที่ออกมาดีของทีมเพียง 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือมาจากระบบทีมและตัวนักเตะที่เล่นร่วมกันมานาน ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ คุมเหล่าสตาร์ดังอยู่หมัดตลอด 20 กว่าวันบนแผ่นดินสิงคโปร์ พร้อมรักษาบรรยากาศ คลายความกกดดันต่างๆที่เกิดขึ้นในทีมตลอดทัวร์นาเมนท์แบบไร้ที่ติ อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์ความสามารถของตัวเองให้แฟนบอลทั้งประเทศได้เห็น เป็นเครดิตสำคัญที่ควรจะได้รับการเชิดชู เมื่อทุกอย่างลงตัวความสำเร็จจึงเกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นความหมายของคำว่า “Team behind Team” ที่ “ซิโก้” โพสต์ข้อความทิ้งไว้เป็นปริศนาก็ได้ เพราะช้างศึก ชุดใหญ่ และเล็ก ต่างมีการสลับออกฉากและซับพอร์ทหลังม่านกันอย่างลงตัว ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ในทีม ยืนยันว่ายังแน่นแฟ้นดีทุกประการ ตัวผมได้มีโอกาสถามกับกุนซือใหญ่ถึงกระแสที่เกิดขึ้น และเจ้าตัวตอบกลับมาว่า ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด แทบจะไม่ได้ติดตามรายละเอียดด้วยซ้ำ ก่อนทิ้งท้ายว่าถ้าจะมาคิดเรื่องตอบโต้ สู้เอาเวลาไปคิดแผนการอัด อิรัก ในเกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก นัดต่อไปดีกว่า
ผลงานกำลังดี ข้าศึกยังมีอยู่ตรงหน้า อย่ามาชักใบให้เรือเสียกันเองจะดีกว่า
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!***
