xs
xsm
sm
md
lg

“โรม-จ่านิว” รู้ทันสั่งถอย หวั่น “บิ๊กตู่” ใช้เป็นข้ออ้างอยู่ยาว!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ข่าวแดงป่วนเมืองสะพัด “แกนนำอยากเลือกตั้ง” ในธรรมศาสตร์ สั่งถอย ! หวั่นตกเป็นเครื่องมือสร้างความปั่นป่วน จนเป็นเหตุให้รัฐบาลบิ๊กตู่ ใช้เป็นข้ออ้างเพื่ออยู่ต่อ และไม่จัดการเลือกตั้ง ขณะที่ “ทหารการเมือง” สั่งซื้ออาวุธจากชนกลุ่มน้อย หวังสร้างข่าวเรียกเรตติ้งเช่นกัน

ท่ามกลางกระแสการเมืองอันร้อนแรง มวลชนคนอยากเลือกตั้งนัดชุมนุมเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะที่รัฐบาลได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 1,000 นาย ตรึงกำลังรักษาสถานการณ์และตรวจตราอาวุธอย่างเข้มงวด ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีบทบาทหลักในการดูแลความสงบเรียบร้อย ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ามี “กลุ่มแดงฮาร์ดคอร์” ขนอาวุธเตรียมป่วนเมือง ส่งผลให้การเมืองไทยยิ่งดูเข้มข้นดุเดือด กระทั่งหลายฝ่ายเกรงว่าอาจนำไปสู่ความรุนแรง

แต่บางคนยังคงเคลือบแคลงกับข่าวที่ออกมา ด้วยมองว่าในภาวะที่กองทัพมีอำนาจครอบคลุมทุกพื้นที่จะมีมวลชนกลุ่มใดสามารถขนย้ายอาวุธรอดหูรอดตาเข้ามาก่อการในเมืองหลวงได้จริงหรือ หรือนี่เป็นแค่เพียงสงครามข่าวสารที่ปล่อยออกมาเพื่อดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ที่น่าสนใจมีการปล่อยข่าวออกมาอีกว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่จะทำให้เกิดความรุนแรงก็คือ “โกตี๋” หรือนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แดงฮาร์ดคอร์ซึ่งกบดานอยู่ในประเทศลาว เป็นผู้สั่งการผ่านกลุ่มเสื้อแดงบางพลี ให้เข้าผสมโรงการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ทั้งที่โกตี๋ ก็มีข่าวออกมาว่าเสียชีวิตไปเมื่อปลายปีที่แล้ว จากการอุ้มฆ่าของชายชุดดำ แม้จะไม่มีการยืนยันจากฝ่ายทหารอย่างเป็นทางการก็ตาม

ดังนั้นการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง จึงต้องเป็นไปด้วยการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา ซึ่งเรื่องนี้ แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง บอกว่า สถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ กลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ที่เข้ามาสร้างความรุนแรงในระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งนั้นมีอยู่จริง ทางด้านผู้ชุมนุมที่ธรรมศาสตร์หลังจากทราบข่าวว่ากลุ่มแดงฮาร์ดคอร์จะแฝงตัวเข้ามาสร้างความรุนแรงจึงตัดสินใจยุติการชุมนุมในช่วงเวลา 14.00 น. เนื่องจากเกรงจะตกเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างสถานการณ์ อีกทั้งผู้ชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ก็มีเพียง 200 คน เนื่องจากไม่สามารถระดมคนได้เพราะถูกสกัดหมด ขณะที่ผู้ชุมนุมที่ปักหลักอยู่บริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) นำโดย อานนท์ นำภา, ณัฏฐา มหัทธนา, ชลธิชา แจ้งเร็ว ซึ่งเป็นกลุ่มที่รอรับผู้ชุมนุมที่เดินทางมาจากภาคอีสาน เมื่อได้รับแจ้งข่าวจากผู้ชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ก็ประกาศยุติการชุมนุมและตัดสินใจเข้ามอบตัวเช่นกัน

“ถามว่าปกติในการชุมนุมแต่ละครั้งผู้ชุมนุมแต่ละกลุ่มมีอาวุธไหม ก็มีกันทั้งนั้นแหละ เพราะจัดชุมนุมแต่ละครั้งต้องประกอบด้วยทุน มวลชน อุดมการณ์ สถานการณ์ และอาวุธซึ่งมีไว้ด้วยจุดประสงค์ 2 ประการคือเพื่อความปลอดภัยของมวลชนและเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง แต่เขาไม่ได้มีเยอะ และไม่ได้มีเพื่อสร้างความรุนแรง ส่วนผู้ชุมนุมที่ธรรมศาสตร์เขารู้ว่าถูกจับตาเรื่องนี้ก็จะไม่พกอาวุธ และผู้ชุมนุมก็คงไม่รู้ว่าจะมีแดงฮาร์ดคอร์เข้ามาสร้างความรุนแรง”

สำหรับผู้ที่เข้ามาชุมนุมในธรรมศาสตร์มีอยู่ 3 กลุ่ม คือกลุ่มของนายรังสิมันต์ โรม แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง กลุ่มของจ่านิว-สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ แกนนำกลุ่มพลเมืองโต้กลับ และกลุ่มของนายกร-ปกรณ์ อารีกุล ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนี้จากการข่าวของหน่วยงานความมั่นคงก็เชื่อว่าไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงขึ้น ดังนั้นเมื่อแกนนำประเมินแล้วว่าจะมีมือที่ 3 เข้ามาป่วน ก็ได้มีการปรึกษากันและเห็นพ้องกันให้ประกาศยุติการชุมนุม เพราะกลัวจะตกเป็นเครื่องมือจนนำไปสู่ความรุนแรง และรัฐบาลอาจใช้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นข้ออ้างในการไม่จัดให้มีการเลือกตั้งก็เป็นได้

แหล่งข่าวคนเดิมระบุว่า นอกจากกลุ่มฮาร์ดคอร์แล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝ่ายทหารการเมืองก็มีการจัดหาอาวุธเพื่อสร้างข่าวเรื่องความรุนแรง อันเป็นข้ออ้างที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปโดยไม่จัดการเลือกตั้ง เนื่องจากตอนนี้เป็นการนับถอยหลังเข้าสู่การเลือกตั้งตามที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไว้ ขณะที่คะแนนนิยมของรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ กลับตกลงอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญผลสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาจาก 19 มหาวิทยาลัยให้ คสช.สอบตกทุกด้าน อีกทั้งนักศึกษาส่วนใหญ่ยังระบุว่าไม่เอาพรรคทหารหรือพรรคที่สนับสนุนทหาร รวมถึงไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วย

ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อยื้อเวลาไม่ให้มีการเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ ซึ่งประเด็นหนึ่งที่สามารถใช้เป็นข้ออ้างที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปก็คือ..เพื่อรักษาความสงบ ดูแลบ้านเมืองไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ดังนั้นจึงไม่แปลกหากจะมีการสร้างข่าวการขนอาวุธเข้ามาก่อเหตุรุนแรงหรือข่าวมือที่ 3 ที่จะแฝงตัวเข้ามาป่วนเมือง

อย่างไรก็ดี อาวุธดังกล่าวนั้นไม่ได้นำออกมาจากคลังอาวุธของกองทัพเนื่องจากอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพนั้นจะต้องมีการจัดทำบัญชี มีการเบิกจ่ายงบประมาณในการจัดซื้อ แต่ซื้อหามาจากชนกลุ่มน้อยที่สู้รบอยู่ตามแนวชายแดน เช่น กะเหรี่ยง ว้าแดง ทั้งนี้มีประเด็นหนึ่งที่น่าสังเกตคือในการบุกค้นบ้านหลังหนึ่งเพื่อจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในคดีเงินทอนวัด ปรากฏว่าพบอาวุธปืนจำนวน 23 กระบอก ซึ่งเป็นของนายทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ที่สำคัญนายทหารคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย ที่น่าแปลกคือเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงแค่ยึดอาวุธปืนไปตรวจสอบ แต่ไม่ได้แจ้งข้อหากับผู้ครอบครองทั้งที่อาวุธปืนมีจำนวนถึง 23 กระบอก ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นการจุดไต้ตำตอหรือเปล่า

“อาวุธมาจากสายบูรพาพยัคฆ์ทั้งนั้น ตอนนี้ใครสะสมอาวุธคนนั้นก็ได้เปรียบ มีเงิน 5-6 แสนก็ซื้อได้หลายกระบอกแล้ว ซึ่งหากมีการข่าวการตรวจยึดอาวุธล็อตใหญ่ทุกฝ่ายก็ได้ประโยชน์ ฝ่ายรัฐก็อ้างได้ว่าจะมีคนมาสร้างความรุนแรง รัฐบาลต้องอยู่ดูแลความสงบ ยังจัดการเลือกตั้งไม่ได้ ฝ่ายผู้ชุมนุมเองก็จะป่าวประกาศได้ว่ารัฐใช้อำนาจใส่ร้าย ก็อยู่ที่ว่าคะแนนจะเทไปฝ่ายไหน” แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง ระบุ

ทั้งนี้ สำหรับการดูแลความปลอดภัยของทำเนียบรัฐบาลท่ามกลางข่าวการขนอาวุธเตรียมป่วนของกลุ่มแดงฮาร์ดคอร์นั้น พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีมาตรการดูแลความปลอดภัยที่รัดกุม โดยนอกจากจะเจรจาขอให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่เคลื่อนขบวนมายังทำเนียบรัฐบาลแล้ว ยังมีการตรวจกระเป๋าผู้ที่จะเข้าไปร่วมชุมนุมในธรรมศาสตร์เพื่อป้องกันมือที่ 3 ที่จะพกพาอาวุธปืน วัตถุระเบิด หรือของมีคม เข้าไปเพื่อก่อเหตุรุนแรงอีกด้วย

“จากการตรวจสอบผู้ชุมนุมน่าจะมีประมาณ 200-300 คน หากมีกลุ่มฮาร์ดคอร์พกพาอาวุธเข้ามาก็สามารถสกรีนได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่เองก็เน้นการเจรจาด้วยความอดทน จึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

ทั้งนี้นับเป็นความสำเร็จในการรักษาความสงบเรียบร้อยของฝ่ายความมั่นคง เนื่องจากปฏิบัติการที่รัดกุมฉับไวทำให้สถานการณ์การชุมนุมคลี่คลายไปด้วยดี ไม่มีเหตุปะทะหรือการบาดเจ็บล้มตายอย่างที่บางฝ่ายต้องการ !!



กำลังโหลดความคิดเห็น