xs
xsm
sm
md
lg

สาวเจ้าของสวนปาล์มร้องถูกเจ้าหน้าที่รัฐไล่จับกุมบุกรุกที่สาธารณะ แม้ศาลตัดสินถึงที่สุด แจ้งความเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สุราษฎร์ธานี - สาวเจ้าของสวนปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี ร่ำไห้ร้องสื่อ อ้างถูกเจ้าหน้าที่รัฐจองเวรไล่จับกุมไม่เลิก ทั้งที่ศาลมีคำตัดสินให้ชนะคดีบุกรุกที่สาธารณะจนถึงที่สุดแล้ว แต่ไม่ยอมเลิกรา ยังติดตามจับกุมกลั่นแกล้งจนเป็นคดีความอีก สุดทนขอความเป็นธรรมผ่านสื่อ พร้อมรุดแจ้งความดำเนินคดี 157 ต่อนายอำเภอคีรีรัฐนิคม และพวกรวม 7 คน

น.ส.สุภาวดี ประกอบแก้ว อายุ 36 ปี ชาวสวนปาล์มน้ำมัน อยู่บ้านเลขที่ 48/3 หมู่ที่ 10 ต.ท่าขนอน อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี ได้ร้องเรียนผ่านสื่อถึงกรณี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 นายชาญวิทย์ สิรภักดี นายอำเภอคีรีรัฐนิคม ได้สั่งการให้นายพิเชษฐ ศักดา ปลัดอำเภอ พร้อมพวกเข้าจับกุมคนงาน 5 คน ที่กำลังดำเนินการปลูกต้นไม้ระหว่างร่องกลางสวนปาล์ม หมู่ที่ 1 ต.บ้านทำเนียบ อ.คีรีรัฐนิคม พร้อมนำตัวไปส่งพนักงานสอบสวน สภ.คีรีรัฐนิคม เพื่อดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกที่สาธารณะ


น.ส.สุภาวดี ได้ระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวได้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม เมื่อปี 2557 และถูกพนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตนกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้ายึด ครอบครอง ก่อสร้าง แผ้วถาง ในที่ดินบริเวณป่าสาธารณประโยชน์ทุ่งเบื้องแบบ หมู่ที่ 1ต.บ้านทำเนียบ อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 และเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนและพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายที่ดิน โดยจำเลยกับพวกร่วมกันปลูกสร้างบ้านพัก ปลูกต้นปาล์มน้ำมัน และพืชผลอาสินอื่นๆ ในป่าดังกล่าว เนื้อที่ทั้งหมด 30 ไร่ คิดค่าเสียหายต่อรัฐเป็นเงิน 1,200,000 บาท อันเป็นการทำลายและทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าและที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าว โดยจำเลยกับพวกไม่ได้รับอนุญาต

ต่อมา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้มีคำพิพากษายกฟ้อง และทางอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ต่อมา โดยศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ สวอ.115/2561 คดีหมายเลขแดงที่ 3268/2561 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 โดยมีใจความในตอนท้ายคำพิพากษาว่า ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ถือว่าจำเลย (นางสาวสุภาวดี ประกอบแก้ว ) มีมูลเหตุอันจะอ้างตามกฎหมายได้ จึงไม่อาจมีคำสั่งให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารออกไปจากที่ดินที่เกิดเหตุได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน


น.ส.สุภาวดี ได้ย้ำว่า ตลอดเวลาตนได้เสียค่าใช้จ่ายไปจำนวนมากที่จะได้เอกสารภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศจากกรมแผนที่ทางทหาร ตั้งแต่ปี 2510 นำมาประกอบเพื่อให้เห็นว่า พื้นที่ดังกล่าวนายประดิษฐ์ ศรีปาน ซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของตนเป็นผู้ครอบครองทำกินมาก่อนปี 2497 ก่อนที่จะมีการประกาศเขตพื้นที่ นสล. หลังจากคดีก็ถึงที่สุดแล้ว ตนจึงได้เข้ามาดูแลและปรับปรุงพืชผลสินในพื้นที่ ต่อมา นายชาญวิทย์ สิรภักดี นายอำเภอคีรีรัฐนิคม ได้ออกหนังสือที่ สฎ 0518/672 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2562 ขอรื้อถอนสิ่งก่อสร้าง อาคาร รั้ว ต้นปาล์มน้ำมัน ออกจากพื้นที่ที่ตนครอบครอง ตนจึงได้ทำหนังสือชี้แจงให้นายอำเภอคีรีรัฐนิคมทราบว่าคดีที่เกิดขึ้นนั้นได้มีคำพิพากษายกฟ้องและคดีเป็นที่สิ้นสุดแล้ว พร้อมกับแนบเอกสารคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แจ้งกลับไปเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 โดยเจ้าหน้าที่อำเภอคีรีรัฐนิคมเซ็นชื่อลงรับเอกสารเป็นที่เรียบร้อย

หลังจากนั้นตนก็ให้คนงานลงปลูกพืชแซมในร่องต้นปาล์มน้ำมัน แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ชุดของอำเภอคีรีรัฐเข้าจับกุมอีก ซึ่งตนไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น คดีสิ้นสุดและศาลไม่ได้สั่งให้ตนและบริวารออกจากพื้นที่ ทางอำเภออาศัยอำนาจอะไรที่อยู่เหนือคำพิพากษาของศาลมาบังคับให้ตนและบริวารออกจากพื้นที่ ประกอบพื้นที่สาธารณประโยชน์บ้านเบื้องแบบ ที่ระบุว่า มีพื้นที่ 6,000 กว่าไร่นั้น มีราษฎรอาศัยอยู่กว่า 1,000 ครัวเรือน รวมทั้งวัด โรงพยาบาล ชุมชน อาคารองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านทำเนียบ รวมไปถึงผู้ใหญ่บ้านต่างก็เข้ามาอยู่อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทุกๆ รายก็เป็นการบุกรุกทั้งหมด แต่มีตนรายเดียวที่ทางเจ้าหน้าที่บุกเข้าจับกุมในข้อหาบุกรุก เมื่อตนต่อสู้คดีจนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ยังติดตามมาจับกุมซ้ำซาก จนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครจึงขอร้องผ่านสื่อ เพื่อให้สื่อนำข้อเท็จจริงนำออกสู่สาธารณะเพื่อให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมองเห็นถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่


ต่อมา น.ส.สุภาวดี ได้นำเอกสารเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ต.ปุณณภพ ไชยโย พนักงานสอบสวน สภ.คีรีรัฐนิคม เพื่อดำเนินคดีต่อนายอำเภอคีรีรัฐนิคมพร้อมพวกอีก 6 คน ในความผิดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความลงบันทึกประจำวันและเตรียมดำเนินการต่อไป

น.ส.สุภาวดี ได้เปิดเผยว่า การแจ้งความเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งนี้ เพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนถูกกระทำมาอย่างต่อเนื่องจนคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่ต้องการที่เอาตนออกจากพื้นที่เพื่อที่จะเข้ามาครอบครองพื้นที่เสียเอง เนื่องจากพื้นที่ของตนนั้นเป็นพื้นที่ที่สวยอยู่ติดกับสำนักงาน อบต.บ้านทำเนียบ ด้านหน้าติดถนนใหญ่ จึงเป็นที่หมายตาของกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นและกลุ่มผู้มีอิทธิพล


ผู้สื่อข่าวติดต่อขอรายระเอียดปัญหาที่เกิดขึ้นกับ นายชาญวิทย์ สิรภักดี นายอำเภอคีรีรัฐนิคม ซึ่งนายอำเภอได้เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นได้รับรายงานจากนิติกรประจำ อบต.บ้านทำเนียบ ว่า มีการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ จึงสั่งการให้ปลัดอำเภอนำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดมา 5 คน ส่วนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์นั้น ตนยอมรับว่าไม่เคยทราบมาก่อน และผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดี 157 ต่อตน และชุดจับกุมก็เป็นสิทธิของผู้เสียหายที่จะดำเนินการได้ และยังไม่ขอให้รายเอียดมากกว่านี้เนื่องจากเป็นคดีเข้าสู่กระบวนการสอบสวน ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะได้รายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทราบต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น