xs
xsm
sm
md
lg

อย่าสนว่า “มาสเตอร์มายด์” จะใช่ “นักการเมือง” หรือไม่? แต่ต้องเร่งขจัด BRN ที่วางบึ้มป่วนกรุง 18 จุด!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
 

 
แม้ว่าในห้วงของก่อนและหลัง “รายอฮัจยี” สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย จะปลอดเหตุการณ์ความรุนแรง ซึ่งอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้สิ่งที่สมประโยชน์ รวมทั้งได้ปฏิบัติการก่อวินาศกรรมใน “เมืองหลวง” ของประเทศจนกลายเป็นข่าวที่ครึกโครมทั่วโลกมาแล้ว
 
แต่สถานการณ์ความอึมครึมในแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลายไปในทิศทางที่เป็นคุณต่อการแก้ปัญหาไฟใต้ เช่น กรณี “อับดุลเลาะ อีซอมูซอ” ผู้ต้องสงสัยที่ถูกทหารควบคุมตัวไปสืบสวนสอบสวนยังศูนย์ซักถามในค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี แล้วเกิดอาการ “สมองบวม” จนนอนติดเตียง ณ วันนี้ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามถึงสาเหตุได้ว่าเกิดจากอะไร
 
ขณะที่แนวทางการเสาะหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แต่งตั้งก็อยู่ในอาการชะงักงัน ไม่สามารถมีคำตอบที่กระจ่างแจ้งให้สังคมได้รับทราบ จึงเป็นอีกปมปัญหาที่เหมือนการ “ซุกขยะใต้พรม” ที่เปิดมาเมื่อไหร่ก็กลายเป็น “เงื่อนไขใหม่” ช่วยเร่งเร้าไฟใต้ให้คุโชน 
 
แน่นอนว่ากรณีนี้นอกจากจะเพิ่ม “จุดด่าง” ให้เจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ยังกลายเป็น “จุดอ่อน” ที่จะต้องถูก ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ นำไป “ปฏิบัติการไอโอ” ได้ตลอดเวลา และไม่แต่บีอาร์เอ็นฯ เท่านั้น แม้แต่ องค์กรสิทธิมนุษยชน ก็จะนำเอาไปตอกย้ำให้เห็น “จุดบอด” เพื่อขยายผลถึงประเด็น “การซ้อมทรมาน” ให้เป็นเสี้ยนหนามที่ทิ่มตำหัวใจของหน่วยงานความมั่นคงตลอดไป ตราบใดที่เรื่องราวนี้ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย
 
เรื่องต่อไปที่ต้องให้ความสนใจคือ กรณีการจับกุม “ผู้ต้องหาถล่มชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) ปะกาฮะรัง”อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ขอหมายจับแล้ว จำนวน 14 คน ที่ต้องกล่าวว่าน่าสนใจก็คือ ผู้ต้องหาทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
 
อันแสดงให้เห็นว่า 15 ปีที่ผ่านมาหน่วยงานความมั่นคง หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังไม่สามารถที่จะทำให้ อ.หนองจิก พ้นจากการเป็น “พื้นที่สีแดง” หรือเป็นพื้นที่อันตรายไปได้ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว อ.หนองจิก เป็นอย่างไร วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น เพราะยังเป็น “แหล่งมั่วสุม” เป็นแหล่ง “บ่มเพาะ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยที่หน่วยงานความมั่นคงไม่เคยสามารถที่จะทำให้เป็นพื้นที่ปลอดโจรใต้ได้นั่นเอง
 
จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ บิ๊กอาร์ท-พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 เคยประกาศ “ยุทธการปิดเมือง” ใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ อ.หนองจิก เพื่อปิดล้อมและไล่ล่าโจรใต้ มีการสกรีนเข้มข้นเพื่อแยกโจรออกจากชาวบ้าน ซึ่งเชื่อว่าวิธีการนี้จะทำให้โจรใต้ต้องหลีกลี้ออกนอกพื้นที่ แต่สุดท้ายมาตรการต่างๆ ก็ไม่เคยเป็นผล
 
เพราะวันนี้ อ.หนองจิก ยังกลายเป็นสถานที่ “ซ่องสุม” ของกลุ่มแนวร่วม และ “โรงเรียนปอเนาะ” หลายแห่งก็ยังมีรายงานข่าวว่ายังถูกใช้เป็นที่บ่มเพาะเยาวชนเข้าสู่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน
 
ถามว่าเมื่อไหร่หน่วยงานความมั่นคงจึงจะสามารถทำให้ อ.หนองจิก และพื้นที่อื่นๆ ที่เคยเป็นแหล่งซ่องสุมและบ่มเพาะจะได้รับการแก้ไขที่ได้ผลอย่างแท้จริง เพราะดูเหมือนว่าวิธีการ มาตรการและยุทธวิธีที่ใช้ไม่เคยได้ผล ที่สำคัญ “ชป.จรยุทธ์” จำนวน 750 ชุดของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในวันนี้สามารถสร้าง “ความระคายเคือง” ให้แก่โจรใต้ในพื้นที่ได้มากน้อยเพียงใด
 
เรื่องต่อไปคือ วันนี้ “คดีการวางระเบิด 18 จุดในกรุงเทพฯ” มีการโอนคดีไปให้แก่ “กองปราบ” สืบสวนสอบสวนเพื่อหาตัว “มาสเตอร์มายด์” หรือผู้บงการมาดำเนินคดี ซึ่งฝ่ายที่ “แอบปกป้อง” ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ต้องการที่จะให้มีผลสาวไปยัง “นักการเมือง” ที่อยู่ในต่างประเทศผ่านไปยัง “แกนนำ” ขบวนการในรัฐกลันตันของมาเลเซีย
 
ถ้ามองกันให้ลึกๆ และติดตามเหตุการณ์ก่อการร้ายตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะการก่อวินาศกรรมหลายครั้งใน กทม.จะพบว่า เมื่อมีการกล่าวหาว่าเป็นปฏิบัติการของบีอาร์เอ็นฯ นั่นจะพบว่าแม้บีอาร์เอ็นฯ จะไม่ประกาศว่าเป็นผู้ปฏิบัติการ แต่ก็ไม่เคยที่จะออกมา “ปฏิเสธ” สักครั้งเดียว ในทางกลับกัน ปฏิบัติการอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ฝีมือของบีอาร์เอ็นฯ กลับจะเห็นได้ว่าบีอาร์เอ็นฯ จะออกมาปฏิเสธทุกครั้ง
 
ดังนั้น การก่อการร้ายทั้งหมดในรอบกว่า 20 ปี หรือนับตั้งแต่การเผาโรงเรียน 36 แห่งในปี 2536 เป็นต้นมา จึงเป็นฝีมือของบีอาร์เอ็นฯ ทั้งสิ้น เพียงแต่ รัฐบาล และ กองทัพ เท่านั้นที่ไม่ยอมรับ และหาข้ออ้างว่าบีอาร์เอ็นฯ ก็ไม่เคยประกาศว่าเป็นฝีมือของพวกเขา ทั้งที่รู้อยู่ว่าองค์กรลับนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะประกาศตัว เพราะติดเงื่อนไขมวลชนที่สนับสนุนและสถานการณ์ยังไม่สุกงอมพอที่จะออกมาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
 
การโอนคดีระเบิด กทม.ระหว่างวันที่ 2-3 สิงหาคมที่ผ่านมาไปให้แก่ตำรวจกองปราบ จึงเป็นเรื่องของการ “ซื้อเวลา” และสุดท้ายก็จะใช้การสืบสวนสอบสวนที่เชื่อมโยงการติดต่อทางโทรศัพท์และอื่นๆ ให้เห็น “จิ๊กซอว์” หลังจากที่ประชาชนและสื่อมวลชนเลิกให้ความสนใจเรื่องการติดตามหาตัวมาสเตอร์มายด์ เรื่องราวก็จะ “ดาวน์” และ “ดร็อป” ไปในที่สุด
 
แต่ก็อยากเห็นฝีมือการสืบสวนสอบสวนของตำรวจกองปราบในการทำคดีนี้ เพราะหากสามารถสาวไปถึงผู้บงการและนำตัวมาเปิดหน้ากากได้จริง โดยมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าเป็นเรื่องของ “การเมืองในประเทศ” ที่มีการว่าจ้างให้คนของบีอาร์เอ็นฯ เดินทางไกลจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นไปก่อวินาศกรรมใน กทม.เพื่อต้องการ “ดิสเครดิต” หรือ “ทำลายความน่าเชื่อถือ” รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้จริง
 
นั่นก็จะเป็นผลดีต่อการ “บริหารประเทศ” เพราะได้คนผิดมาลงโทษทางกฎหมาย รวมทั้งบรรดา “นักการเมือง” เกี่ยวข้องจะได้ถูกประชาชน “พิพากษา” ซึ่งจะมีผลมากกว่าการพิพากษาด้วยกฎหมายเสียด้วยซ้ำ
 
แต่ในทางกลับกัน ถ้าผลสรุปของตำรวจกองปราบมีพยานหลักฐานว่า ระเบิดที่ กทม.เป็น “การเมือง” ของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ที่ต้องการการ “ต่อรอง” กับรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งก็จะต้องตระหนักถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ต้องเร่งแก้ปัญหาความปลอดภัยของประชาชน และต้องมีนโยบายในการดับไฟใต้ที่ชัดเจน
 
ที่สำคัญต้องรับมือกับบีอาร์เอ็นฯ ที่ได้แปรเปลี่ยนยุทธวิธีจากแค่ “ก่อความไม่สงบ” ไปสู่การ “ก่อการร้ายเต็มรูป” แล้วนั่นเอง
 
เพราะในอนาคตระเบิดอาจจะเกิดขึ้นกับเมืองไหนๆ จังหวัดไหนๆ ในประเทศไทยก็ได้  ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริงปัญหาการก่อการร้ายก็จะกลายเป็น “ภัยซ้ำเติม” ให้ประเทศเดินไปสู่ “ทางตัน” ยิ่งขึ้น เพราะวันนี้แค่ความวุ่นวายทางการเมือง ความแตกแยกของคนไทยในชาติด้วยกัน นั่นก็ซ้ำเติมประเทศให้ “บอบช้ำ” เกินกว่าที่ “น้ำใบบัวบก” จะเยียวยาได้แล้ว
 
ดังนั้น จึงต้องเร่งจัดการกับบีอาร์เอ็นฯ ให้ได้โดยเร็ว อย่ารอให้ขบวนการออกมาประกาศความรับผิดชอบในระเบิดกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้น แล้วค่อยลุกลี้ลุกลนเพื่อแก้ปัญหา เพราะหากรอให้ถึงวันนั้นอาจจะสายเกินไปก็ได้
  


กำลังโหลดความคิดเห็น