xs
xsm
sm
md
lg

แล้วไฟใต้ก็ลามกรุงอีกระลอก!..วังวนเดิมๆ กว่า 15 ปีที่ทุก “รัฐบาล-ผบ.ทบ.-แม่ทัพ” ก้าวไม่เคยพ้น?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
 
2 ผู้ต้องสงสัยเหตุลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ ที่ถูกจับกุมได้ถูกระบุว่าเป็น “มุสลิม” จาก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
 
หลังการโจมตีชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) บ้านกอแลปิเละ ม.7 ต.ปะกาฮะลัง อ.เมือง จ.ปัตตานี ผ่านพ้นไป เหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังไม่ได้ยุติความรุนแรงลง เพราะยังมี “คนไทยพุทธ” อายุกว่า 70 ปีที่กลายเป็นเหยื่อรายล่าสุดในพื้นที่ ต.ปะโด อ.ยะรัง จ.ปัตตานีอีกเช่นกัน
 
แต่กระแสข่าวการ “ละลายฐาน” ของ ชคต.กอแลปิเละ และข่าวการขาดอากาศหายใจของ “นายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ” ที่ผู้คนให้ความสนใจได้กลบข่าวการตายของ “นายโฉม เพชรอรุณ” กลายเป็นข่าวเล็กๆ ที่รับรู้เพียงว่า รัฐได้มีการส่งผู้แทนไปจ่าย “เงินเยียวยา” จำนวน 500,000 บาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือครอบครัว ส่วนความคืบหน้าของ “การตาย” ไม่มีรายละเอียดว่า เป็นฝีมือของ “โจรใต้” หรือเป็นเรื่อง “ส่วนตัว” ปรากฏให้เห็น
 
แต่การที่รัฐจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ครอบครัวก็เป็นหลักฐานที่ “ชี้ชัด” ว่า การเสียชีวิตของ “ผู้เฒ่าโฉม” เกิดจากฝีมือของ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ดังนั้น กรณีนี้จึงถือว่าเป็นเหยื่อรายล่าสุดที่สังเวยให้แก่สถานการณ์ไฟใต้ และไทยพุทธรายต่อไปก็ยังจะต้องเกิดขึ้นอีก เพราะยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่า “บีอาร์เอ็นฯ” จะยุติความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
ในขณะเดียวกัน ก็จะพบกับความจริงที่ว่า กว่า 15 ปีที่ไฟใต้ระลอกใหม่ปะทุคุโชนเปลวขึ้นมา การแก้ปัญหาไฟใต้ของภาครัฐไม่ได้มีการพัฒนาการเพื่อให้หลุดพ้นจาก “กับดัก” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่วางไว้เลย เรายังอยู่ใน “วังวนเดิมๆ” มาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2547
 
อย่างเช่น มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตในที่ควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ ซึ่งก็เคยเกิดมาแล้วหลายครั้งหลายหน แต่แล้วในวันนี้ก็ยังเกิดขึ้นแบบซ้ำๆ ได้อีก อย่างกรณีล่าสุดคือ “อับดุลเลาะ อีซอมูซอ” ที่วันนี้ยังนอนหายใจรวยรินอยู่ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ยืนยันได้อย่างเดียวว่า สมองบวมเพราะขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง
 
แม้ว่า พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาแล้วให้แบ่งเป็น 2 ชุดเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง ทั้งในเรื่องตรวจสอบทางการแพทย์เกี่ยวกับที่มาของอาการนายอับดุลเลาะ และการตรวจสอบสถานที่ควบคุมตัวเขา แต่สรุปสุดท้ายก็เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นแบบซ้ำๆ คือ ไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน
 
เมื่อขาดความชัดเจน นั่นก็เท่ากับยังไม่ได้มีการคลี่คลาย “เงื่อนไข” แห่งความสงสัย โดยเฉพาะ “ข้อกล่าวหา” ของคนในพื้นที่ และไม่สามารถที่จะมีพยานหลักฐานที่จะไปต่อกรกับ “ปฏิบัติการไอโอ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
 
การออกมาแถลงข่าวของ “โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะคลี่คลายความรู้สึกของประชาชนที่เชื่อไปแล้วกับปฏิบัติการไอโอของขบวนการแบ่งแยกดินแดนว่า “อับดุลเลาะ อีซอมูซอ” ถูกกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อ “รีดเค้น” ความลับที่ต้องการ
 
เพราะเป็นที่รู้กันในหมู่ของผู้ทำงานด้าน “การข่าว” ว่าเขาคือ “กุญแจ” ดอกสำคัญในพื้นที่ ซึ่งเกี่ยวพันกับหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่มีพยานในการสาวถึงตัว ดังนั้น เมื่อมีการ “ซัดทอด” จากแนวร่วมที่ถูกจับกุมมาได้ จึงทำให้มีพยานหลักฐานในการจับกุมเขามาเพื่อ “ซักถาม” เพื่อการเดินหน้าไปสู่การกวาดล้างแนวร่วมในพื้นที่
 
อีกทั้งหลังเกิดเหตุมีการควบคุมตัว “คอเต็บ” ในพื้นที่และบุคคลอื่นๆ กว่า 10 คนเพื่อเข้าสู่กระบวนการซักถาม ซึ่งยังไม่มีการแถลงข่าวจาก “โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ถึงผลการซักถามว่าได้ “สาระ” ที่เป็นประโยชน์การต่อการ “ดับไฟใต้” อย่างไรบ้าง ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นการควบคุมผู้ที่ร่วมในเหตุการณ์ยิงถล่มชนิดละลายฐาน ชคต.ดังที่กล่าวมาแล้วด้วย
 
เพื่อที่ “แม่ทัพ” จะไม่ต้อง “ตากหน้า” ไป “ขอโทษ” ครอบครัวของผู้ถูกจับกุม รวมทั้งหวังว่าถ้าจับได้ถูกตัวแล้ว ผู้ถูกจับต้องไม่เกิดอาการ “ป่วยเฉียบพลัน” อย่างที่เกิดกับ “อับดุลเลาะ อีซอมูซอ” ให้เปลืองเวลาในการตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกันอีก
 
เช่นเดียวกับการโจมตี ชคต.กอแลปิเละ แม้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะสรุปผลว่า เป็นผลมาจากหลายกรณี เช่า 1.จุดที่ตั้ง ชคต.คือจุดอ่อนให้ถูกโจมตีและป้องกันยาก 2.กำลังที่เหนือกว่าของแนวร่วม 3.เจ้าหน้าที่ต่อสู้จนกระสุนหมด และ ฯลฯ
 
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุหลักของการโจมตี ชคต.กอแลปิเละ มาจากการที่ “อส.คนหนึ่ง” ในฐานแห่งนี้มีส่วนร่วมในงาน “การข่าว” จนนำไปสู่การจับกุมแนวร่วมคนสำคัญของขบวนการแบ่งแยกดินแดน นั่นคือ “ต้นเหตุ” ของการโจมตีใช่หรือไม่ นั่นคือเป็นการ “แก้แค้น” และ “เอาคืน” ของฝ่ายบีอาร์เอ็นฯ ใช่หรือไม่
 
อดีตกองกำลังท้องถิ่นระบุว่า จุดปฏิบัติการในพื้นที่ล่อแหลมคือ “เหยื่ออันโอชะ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน จนหลายครั้งต้องยุบฐานปฏิบัติการที่อยู่ในจุดเสี่ยง เช่นเดียวกับปัจจุบันทั้ง “ชคต.” และ “ชรบ.” ก็ยังเป็น “จุดอ่อน” เหมือนกับที่ผ่านๆ มา
 
ดังนั้น “กองกำลังท้องถิ่น” เช่น ชคต. และ ชรบ. จึงมักจะตกเป็นฝ่ายสูญเสียทั้งชีวิตและอาวุธให้แก่แนวร่วมมาโดยตลอด นี่ก็คือ “กับดัก” ที่ผ่านมาแล้ว 15 ปี แต่เจ้าหน้าที่รัฐยังตกอยู่ในวังวนเดิมๆ
 
ก่อนปี 2547 และหลังปี 2547 บีอาร์เอ็นฯ ใช้นโยบาย “ไม่ต้องซื้ออาวุธ” เพื่อปฏิบัติการก่อการร้าย ด้วยการโจมตีฐานปฏิบัติการและลอบยิงเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อแย่งปืน แย่งเสื้อเกราะ วันนี้ผ่านไปแล้วกว่า 15 ปี กองกำลังของบีอาร์เอ็นฯ ก็ยังใช้วิธีการเดิมๆ ซึ่งในการโจมตี ชคต.กอแลปิเละ เราก็สูญเสียปืนให้แก่โจรใต้ไปอีก 4 กระบอก
 
อีกทั้งหลังปี 2547 กองกำลังของบีอาร์เอ็นฯ ใช้ปฏิบัติการชิงรถยนต์และรถจักรยานยนต์จากชาวบ้าน เพื่อนำไปใช้ประกอบระเบิดแสวงเครื่องทำเป็น “คาร์บอมบ์” และ “จยย.บอมบ์” แล้วนำไปก่อวินาศกรรม วันนี้โจรใจ้ก็ยังใช้ปฏิบัติการเดิมๆ ทั้งหมด โดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่เคยที่จะติดตามยึดรถยนต์ และ จยย.ที่ถูกจี้ชิงไปคืนมาได้เลย
 
ที่น่าฉงนสนเท่ห์มากคือ ผ่านวันเวลามากว่า 15 ปีแล้วการ “สืบเสาะ” เพื่อทำลาย “โครงสร้าง” ของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ในพื้นที่แทบจะ “ล้มเหลว” สิ้นเชิง
 
เอาแค่ตัวอย่างเรื่องเดียวที่หลังการปะทะและฝ่ายโจรใต้จะมีผู้บาดเจ็บหรืออาจจะเสียชีวิตตลอด แต่เจ้าหน้าที่ไม่เคยล่วงรู้ว่าคนเจ็บถูกนำไปรักษาพยาบาลที่ไหน หรือถ้าตายแล้วถูกนำไปฝังที่ไหน ซึ่ง 2-3 เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดการปะทะกันนั้น “โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มักจะแถลงข่าวเสียใหญ่โตว่า ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บ เพราะมีรอยเลือดหยดเป็นทาง แต่สุดท้ายก็เห็นได้แค่รอยเลือด ส่วน “คนเจ็บ” อยู่ไหนไม่เคยชี้แจง
 
เช่นเดียวกับเรื่อง “ภัยแทรกซ้อน” ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการส่งเสริมและสนับสนุนทางการเงินให้แก่ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ใช้ในการก่อการร้าย มีการปราบปรามในพื้นที่มายาวนานชนิดผ่านไปแล้วก็ “หลายแม่ทัพ” แต่วันนี้ปัญหาภัยแทรกซ้อนทั้งหมดทั้งปวงก็ยังคงดำรงอยู่อย่างเข้มแข็ง แถมไม่มีภัยแทรกซ้อนตัวไหนที่พอจะบอกได้ว่าเจ้าหน้าที่ปราบปรามได้สำเร็จ ซึ่งก็เท่ากับว่าเรายังวนเวียนอยู่ในกับดักและวังวนแบบเดิมๆ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
 
และแล้วเหตุการณ์ระทึกขวัญคนไทยทั้งชาติที่เพิ่งเกิดล่าสุดคือ การลอบวางระเบิดกลางกรุงเทพฯ ต่อเนื่องเมื่อวันที่ 1-2 สิงหาคม 2562 ทั้งที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และที่อื่นๆ ราว 10 จุด “2 ผู้ต้องสงสัย” ที่ถูกจับกุมได้ก็ปรากฏว่าเป็น “มุสลิม” จาก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
 
เช่นเดียวกับการลอบวางระเบิดในรูปแบบ “ดาวกระจาย” เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ในจังหวัดที่ล้วนเป็น “เมืองท่องเที่ยว” สำคัญของภาคใต้ ตั้งแต่ จ.ตรัง จ.พังงา จ.ภูเก็ต จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช ไปจนถึง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นั่นก็ประจักษ์แล้วว่าคือ ฝีมือของคนในขบวนการบีอาร์เอ็นฯ
 
แต่ผลสรุปคือการ “ปิดปากเงียบ” ของรัฐบาลที่ไม่เคยชี้แจงว่า เป็นก่อการร้ายที่ลุกลามไปจากแผ่นดินไฟใต้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ารัฐบาล คสช.สมัยนั้นมี “เลศนัย” อะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่
 
ดังนี้แล้ว ถ้าจะให้สรุปอะไรที่สั้นๆ และชัดเจนในตอนนี้ก็น่าจะได้ว่า ตลอดเวลากว่า 15 ปีที่ผ่านมา การแก้ปัญหาไฟใต้ของ “ทุกรัฐบาล” ของ “ทุก ผบ.ทบ.” และของ “ทุกแม่ทัพ” ทั้ง “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี” ยังคงเดินอยู่ในวังวนเดิมๆ และติดอยู่ในกับดักที่บีอาร์เอ็นฯ เป็นผู้วางและกำหนดให้เดิน ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องเดินแบบนี้ตลอดไปหรือไม่?!?!
 
นี่ถ้าจะเป็นการอภิปรายในสภาผู้แทนฯ ผู้เขียนก็คงจะจบลงด้วยประโยคที่ว่า “ผมไม่ไว้วางใจที่จะให้ท่านทำหน้าที่ต่อไป เพราะกว่า 15 ปีที่ผ่านมา ประเทศชาติและประชาชนสูญเสียมากเกินพอแล้วครับ ฯพณฯ”
 
แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของไฟใต้ ไม่ใช่เรื่อง “การเมืองน้ำเน่า” จึงหวังว่าการกลับมาของ “ฯพณฯ” ในครั้งนี้จะสามารถนำรัฐบาล นำกองทัพ และนำ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้หลุดพ้นจาก “วังวนเดิมๆ” และ “กับดักเดิมๆ” ที่ติดอยู่กว่า 15 ปีได้
 
ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้การดับไฟใต้สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “เราเดินมาถูกทางแล้ว” จริงๆ เสียที?!?!
 


กำลังโหลดความคิดเห็น