ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ -พรรคประชาชาติขอให้นักการเมืองทุกพรรคเปลี่ยนเป็น “นักสร้างสันติภาพ” จัดตั้งรัฐบาลโดยคำนึงถึงปัญหาของประชาชน ไม่ใช่สร้างเงื่อนไขเพื่อชิงอำนาจกัน
วันนี้ (26 มี.ค.) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค และ ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม รองหัวหน้าพรรค แถลงข่าวที่สำนักงานพรรคประชาชาติ เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ เป็นการแสดงท่าทีของพรรคถึงแนวทางจัดตั้งรัฐบาล หลังจากที่พรรคประชาชาติได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการรวม 7 ที่นั่ง คือ ส.ส.แบบเขต 6 ที่นั่ง และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 ที่นั่ง
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีพรรคใดติดต่อมาโดยตรงเพื่อขอร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือต้องยอมรับว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาภาพของการเมืองถูกมองในแง่ลบ วันนี้อยากเห็นนักการเมืองเปลี่ยนเป็น “นักสร้างสันติภาพ” ไม่ใช่แข่งขันเพื่อชิงอำนาจกัน ส่วนหลักการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เมื่อเราเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ประการแรกอยากเห็นทุกพรรคหันหน้ามาคุยกัน เพราะปัญหาของประชาชนมีมากกว่าการที่นักการเมืองจะชิงตำแหน่งกัน เราน่าจะมีจุดเริ่มต้นในการสร้างสันติภาพของนักการเมืองก่อนที่จะบอกให้ประชาชนปรองดองสามัคคีกัน
ประการที่สอง ต้องยอมรับสภารุ่นใหม่ ยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เหมือนกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2521 สามารถอยู่ได้ถึง 12 ปี อะไรที่ไม่เป็นไปตามประชาธิปไตยก็ไม่อยากสร้างเงื่อนไข จุดยืนของพรรคประชาชาติเราต้องยึดการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่ต้องการการสืบทอดอำนาจของกลุ่มคนที่ก่อรัฐประหาร หากไม่มีพรรคประชาชาติเสียงอาจจะไม่ถึง 250 เราไม่ต้องมองแค่ว่าจะมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดวันนี้คือปัญหาของประชาชน
เราต้องยอมรับความจริงว่าฝ่ายที่ไม่ต้องการการสืบทอดอำนาจได้คะแนนเสียงมากกว่า ส่วนฝ่ายที่ต้องการสืบทอดอำนาจได้เสียงมากเช่นกันในเขตเดียวกัน ปัญหาอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิเสรีภาพเพียงอย่างเดียว แต่อาจมีปัญหาอย่างอื่นตามมา ซึ่งอย่างที่หัวหน้าพรรคกล่าวคือ การใช้อิทธิพล บางคนใช้งบประมาณรัฐหาเสียง อย่างไรก็ตามเรามีการเลือกตั้งแล้ว เสียงที่ได้แบ่งเป็น 50/50 ถ้าเราปล่อยอย่างนี้ต่อไปอันตราย เราไม่อยากให้เกิดเหมือนพฤษภาทมิฬ เมื่อปี 2534 ขอฝากทุกพรรค “อยากให้นักการเมืองเปลี่ยนเป็นนักสร้างสันติภาพ”
ตอนหาเสียงทุกพรรคพูดว่าจะช่วยประชาชน ดังนั้นเราควรจัดตั้งรัฐบาลโดยคำนึงที่ประชาชนเป็นหลักก่อน หลังจากนั้น 6 เดือน หากมีมีความเคลือบแคลงใจเรื่องความบริสุทธิ์ยุติธรรม ก็จัดการเลือกตั้งใหม่ก็ได้ วันนี้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในอำนาจรัฐเหมือนกัน เพื่อให้การเลือกตั้งมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมจริงๆ ก็อาจต้องลงทุน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ใช้งบประมาณ 5 พันกว่าล้าน แม้ไม่มีการเลือกตั้ง กกต.ก็ใช้เงินแล้ว 3 พันกว่าล้าน บัตรเลือกตั้งก็พิมพ์แพงมาก ผมเชื่อมั่นว่าบุคคลที่เป็น กกต.หลายคนมาจากพื้นที่คนดีงาม ถ้าขาดความรับผิดชอบเมื่อไหร่ บ้านเมืองจะวิบัติ
ทุกเวทีต้องมีการพูดคุยกัน เช่น ปัญหาภาคใต้ต้องพูดคุยสันติภาพ การเลือกตั้งครั้งนี้ดีงามที่ไม่มีการใส่ร้ายกัน ตอนนี้ขอให้ทุกพรรคหันหน้ามาคุยกัน และแต่ละพรรคไม่ควรสร้างเงื่อนไขมาก ถ้าเราต้องการประชาธิปไตย ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งนี่เป็นเสียงของประชาชน เพราะเรายังไม่รู้ว่ามีการทุจริตอย่างไร ต้องยอมรับว่าหลายพื้นที่ ฝ่ายที่เอาไม่เอาการสืบทอดอำนาจก็ได้คะแนนสูง ฝ่ายสืบทอดอำนาจก็ได้คะแนนแพ้บ้างชนะบ้าง แสดงว่าวันนี้ในพื้นที่ประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ทั้งคู่ วันนี้มองว่าถ้าไม่เรียกพรรคประชาชาติไปคุยได้ยิ่งดี เพราะอยากให้พรรคใหญ่ๆ คุยกันก่อน แต่จุดยืนคือขอให้ ส.ส. 500 คนเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี
