xs
xsm
sm
md
lg

“เทพเทือก” ถล่มยับ ถาม "อภิสิทธิ์" แสดงจุดยืนไม่เอา "ประยุทธ์" แล้วอยู่ข้างใคร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ประชาชาติ - รวมพลังประชาชาติไทย ปราศรัยที่ภูเก็ต “เทพเทือก” ย้ำอยู่คนละข้างทักษิณ ถาม “อภิสิทธิ์” แสดงจุดยืนไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แล้วอยู่ข้างใคร ด้าน “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ชูภูเก็ตต้องบริหารจัดการตัวเอง

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 11 มีนาคม 2562 ที่สนามฟุตบอล โรงแรมภูเก็ต รอยัล ซิตี้ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) เปิดเวทีปราศรัยย่อยช่วงโค้งสุดท้ายขึ้น ทั้งนี้ มีแกนนำผู้ร่วมปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์ นำโดย ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง เลขาธิการพรรค รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร กรรมการพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค นายสำราญ รอดเพชร ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคและ น.ส.เพชรชมพู กิจบูรณะ โฆษกพรรค/ผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 2

นอกจากนี้ ยังมีผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต พรรคพลังประชาชาติไทยทั้ง 2 เขต คือ นายอรรคพล นนทรีย์ ผู้สมัคร เขต 1 หมายเลข 7 และนายทรงยศ เหมหงษ์ ผู้สมัครเขต 2 หมายเลข 9 ร่วมขอคะเเนนเสียง ซึ่งเนื้อหาในการปราศรัยส่วนใหญ่ยังคงเป็นการเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้านต่างๆ ที่สังคมไทยต้องประสบ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม เเละอื่นๆ เช่นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยยังชีพคนพิการ

ทั้งนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวย้ำบนเวทีว่า ตนเองและพรรครวมพลังประชาชาติไทยจะไม่ยืนข้างเดียวกับฝ่ายของนายทักษิณ เป็นอันขาด ตลอดไป และจะยืนหยัดต่อสู้ ซึ่ง นายทักษิณ นั้นยังคิดอยากกลับมามีอำนาจในประเทศไทยตลอดเวลา เป็นคนที่ไม่เคยยอมรับความจริง ไม่ยอมรับผิด ส่วนประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจว่า ตนเอง เเละพรรคสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี นั้น ความจริง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้พูดถึงมาก่อนหน้าบนเวทีอย่างชัดเจน เเต่ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นข่าวใหญ่ สื่อเพิ่งมาให้ความสำคัญหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หน.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงจุดยืนว่า ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตนเองจึงได้กล่าวบนเวทีปราศรัยที่ จ.พังงาเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ผมจึงต้องขึ้นเวทีอธิบาย ว่า จุดยืนของคุณอภิสิทธิ์ ต่างจากจุดยืนของเราพรรครวมพลังประชาชาติไทย

วันนี้ นายทักษิณ อยากกลับบ้าน และพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกวิถีทาง เริ่มจากวิธีการแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย ซึ่งนายทักษิณ รู้ดีว่าถ้าสมัครทั่วประเทศในนามพรรคเพื่อไทย จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประชาชนทราบดีว่าพรรคนี้ทำอะไรไว้บ้าง และจะไม่มีวันลืม ทั้งนโยบายโกงรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้เสียหายไปกว่า 5 แสนล้านบาท ไม่มีทางที่จะลงคะแนนเสียงให้ จึงแตกพรรคเป็นหลายๆ พรรค เปรียบเสมือนสินค้าโรงงานเดิม แต่เปลี่ยนกล่อง เปลี่ยนสี ถ้าประชาชนหลงไปซื้อสินค้าเหล่านั้น กำไรก็จะเข้าเถ้าแก่ที่ชื่อทักษิณ ทั้งหมด นี่คือเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองของเขา ไม่เคยมีใครในโลกที่ทำแบบนายทักษิณ

คืออยากจะกลับบ้าน ไม่อยากติดคุก ไม่ต้องขึ้นศาล จึงให้บริวารเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยเพื่อล้างความผิดทั้งหมด และกลับมามีอำนาจ และที่ตนเองอยากพูดถึงและไม่อยากให้ลืมคือวีรกรรมของมวลมหาประชาชนที่ร่วมต่อสู้จนได้รับบาดเจ็บล้มตาย ถึงแม้จะผ่านมา 5-6 ปี แต่เชื่อว่าไม่มีใครลืม กลุ่มคนเหล่านั้นเองที่ได้ร่วมต่อสู้เรียกร้องรัฐบาลสมัยนั้นที่บริหารบ้านเมืองย่ำแย่ ไม่ฟังแม้กระทั่งเสียงของประชาชน กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาปฏิวัติ จนประเทศเกิดความสงบ

และเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ ตนเองอยู่มา 37 ปี อยู่จนเหมือนบ้าน ทำงานเต็มที่ ทำทุกอย่าง เป็นทั้งผู้จัดการรัฐบาล กระทั่งทำให้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่วันนี้รู้สึกสลดใจที่นายอภิสิทธิ์ ประกาศอยู่ข้างประชาธิปไตย สู้กับรัฐบาลเผด็จการ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงว่านายอภิสิทธิ์ พร้อมที่จะจับมือกับฝ่ายนายทักษิณ คำที่นายอภิสิทธิ์ พูดว่า จะไม่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี สืบทอดอำนาจต่อไปนั้น เป็นคำเดียวกับที่ฝ่ายนายทักษิณพูดเลย

จึงถามว่าที่พูดเช่นนี้แสดงว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แล้วจะเอากับใคร หรือจะไปกับนายทักษิณ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราไม่ยอม เราจึงออกมาพูด และที่บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ เผด็จการ ต้องต่อต้าน ซึ่งพูดความจริงไม่หมด ก่อนหน้าคือตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค.2557 มาจนวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเผด็จการ เพราะเข้ามายึดอำนาจ แต่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามายึดอำนาจเพราะสาเหตุใด ไม่เพราะว่ากำลังจะเกิดสงครามกลางเมืองหรือ เราไปต่อต้านทรราชแต่ถูกฆ่าทุกวัน ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มาประเทศก็ไม่สงบ

ทั้งนี้ ในเรื่องการสืบทอดอำนาจที่กล่าวถึงนั้น ในวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้า คสช.และเป็นนายกรัฐมนตรี การใช้อำนาจจึงสามารถออกคำสั่งทำได้ตามกฎหมาย แต่เมื่อหลังเลือกตั้ง หาก พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับเลือกและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การกระทำสิ่งใดก็ต้องอยู่ภายใต้รัฐสภา อำนาจขาดไปตั้งแต่หลังเลือกตั้ง จึงไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ

อย่างไรก็ตาม หากพรรครวมพลังประชาชาติไทยได้ร่วมรัฐบาล จะขอบริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรทุกอย่างให้มีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาของปาล์ม เเละยางพารา โดยตั้งไว้ว่า ปาล์มจะต้องมีราคา กก.ละ 5 บาท เเละยางพารา กก.ละ 80 บาท เพราะตนเองเคยทำมาแล้วสูงกว่านี้ จะทำให้ได้มากกว่านี้ก็คงไม่ยาก และอีกกระทรวงที่อยากเข้าไปจัดการคือ กระทรวงศึกษาธิการ อยากทำให้ลูกหลานคนจน ด้อยโอกาสได้เรียนฟรีจนจบการศึกษา

ส่วนที่บริเวณตลาดนัดบ้านบางเทา ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พรรคประชาชาติ นำโดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย (นิติภูมิ นวรัตน์) และ ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค ตลอดจนผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ภูเก็ต เขตเลือกตั้งที่ 1 นายธีระเดช พู่นำชัย และเขตเลือกตั้งที่ 2 นายเจริญ ถิ่นเกาะแก้ว ร่วมเวทีด้วย มีผู้ให้การสนับสนุนและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า แม้ว่าพรรคประชาชาติจะจัดตั้งขึ้นที่ภาคใต้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นพรรคของคนใต้เท่านั้น แต่เราเป็นพรรคของคนทั้งประเทศ แม้ว่าเราจะเป็นพหุวัฒนธรรม มีชาติพันธุ์ หรือการนับถือศาสนาหรือภาษาพูดที่แตกต่างกัน แต่เรา คือ คนไทยเหมือนกัน ดังนั้น พรรคประชาชาติจึงมีนโยบายที่ชัดเจนในการสร้างชาติให้มีเกิดความเข้มแข็ง สำคัญคือ จะต้องมีความยุติธรรม เสมอภาคและเท่าเทียมกัน สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และสันติสุข

สำหรับจังหวัดภูเก็ต ทางพรรคมีนโยบายสำคัญ คือ จะต้องมีการบริหารจัดการตัวเอง โดยจะมีการกระจายอำนาจ เนื่องจากภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมทั้งเรื่องของภาษีอากร และรายได้ที่เกิดขึ้นปีละประมาณ 400,000 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมา มีการส่งคืนกลับมาไม่มาก ภูเก็ตมีปัญหาในเรื่องการวางผังเมือง และการจราจรที่คับคั่ง ซึ่งส่งผลต่อการสัญจรไปมาและกระทบการท่องเที่ยว

ฉะนั้นการจัดการเรื่องการคมนาคมจึงมีความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการขยายหรือปรับปรุงเส้นทางที่มีอยู่เดิม หรือการสร้างเส้นทางใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นลักษณะถนนลอยฟ้าหรือถนนใต้ดินตามความเหมาะสม ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เช่นเดียวกับเรื่องของสนามบินที่ค่อนข้างแออัด และจะต้องขยายหรือย้ายไปยังพื้นที่ใหม่ ทราบว่ามีจำนวนเที่ยวบินที่ต้องการมาลงที่ จ.ภูเก็ต จำนวนมาก แต่ไม่สามารถรองรับได้ ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 10 ล้านคน แต่ศักยภาพของภูเก็ตสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากถึง 20 ล้านคน





กำลังโหลดความคิดเห็น