xs
xsm
sm
md
lg

ชกหมัดตรง : การเมืองไทยยุค 4.0 “พรรคใหม่” ทำไม “คิดเก่า ทำเก่า” แถมย่ำรอยเท้า “ลูกพี่เก่า” / นี่ก็ยุทธวิธีเก่าๆ เอาอำนาจรัฐ “บีบไข่” ฝาก “ส่งต่อ” เป็นทอดๆ / จับตา “ศพเจ้าอาวาส” ยังขลังไหม? “เสาไฟฟ้า” ได้เข้าสภาอีกหรือเปล่า?!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
 

 
ไม่ทราบว่าคนที่ติดตามเรื่องราว “การเมืองแบบไทยๆ” จะมีความรู้สึก “ผิดหวัง” และ “เสียดายเวลา” กว่า 4 ปีที่ผ่านมากันหรือไม่ อันเป็นกว่า 4 ปีที่ “รัฐบาล คสช.” ยึดอำนาจเข้ามาแล้วประกาศว่าจะ “ปฏิรูปการเมือง” แต่ท้ายที่สุด ณ เวลานี้ “ลูบ” ลงไปตรงไหนก็แทบไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ทั้งที่ปี่กลองการเลือกตั้งกำลังประโคมโหมโรงอึงมี่ขึ้นเรื่อยๆ
 
ล่าสุดยังเกิดปรากฏการณ์ “ส.ส.เก่าๆ” จากระบบ “พรรคการเมืองเก่าๆ” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกที่สร้างปัญหาไว้ให้กับการเมือง สังคมและประเทศชาติได้ “ถูกต้อน” เข้ามาสู่ “พรรคการเมืองใหม่” ที่เพิ่งถูกตั้งขึ้นมาโดยที่หวังว่าจะกวาด ส.ส.มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อที่จะได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลได้อีกคำรบ
 
วิธีการ “ดูด” นักการเมืองที่เป็นอดีต ส.ส.ไปไว้ในคอก นับว่าไม่ต่างจากวิธีที่ “ระบอบทักษิณ เคยใช้มาตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเคยถูกตราบาปว่าเป็น “ระบบการเมืองที่เลวร้าย” แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่าพรรคเกิดใหม่ที่ต้องการได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลก็ทำได้แค่เดินลุยน้ำเน่า “ตามรอยเท้า” ของ “ระบอบทักษิณ”
 
สุดท้าย “พรรคการเมืองใหม่” จึงกลายเป็นพรรคที่ “คิดเก่า ทำเก่า” เพราะเดินตามรูปแบบของ “ลูกพี่เก่า” ที่เคยร่วมงานกันจนได้หยิบฉวยเอามาใช้บ้าง ซึ่งเพียงแค่เริ่มต้นก็ไม่มีอะไรใหม่ที่จะเป็น “ความหวัง” ให้กับสังคมในอันที่จะ “ฝากผีฝากไข้” หรือฝาก “อนาคตประเทศชาติ” ไว้ให้สานต่อ
 
เวลานี้แค่เริ่มต้นออกแขกการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ดูๆ ไปแล้วแทบจะทุกพรรคการเมืองกลับไม่ได้คิดหรือกระทำในสิ่งที่เป็นเรื่อง “สร้างสรรค์” ไม่ได้ใช้หวังจะนโยบายพรรคในการในสร้างศรัทธากับประชาชน แต่คิดเพียงอย่างเดียวว่า พวกตนจะทำอย่างไรให้ได้กวาดต้อน “อดีต ส.ส.” จากพรรคต่างๆ ให้เข้าไปอยู่ในพรรคตนเองมากที่สุด
 
โดยบรรดา “นักการเมืองหน้าเก่าๆ” ยังเชื่อแบบเดิมๆ บน “ฐานคิดเก่าๆ” ว่า “อดีต ส.ส.” เหล่านั้นคือ นักการเมืองระดับ “เอบวก” หรือ “เอ” ที่เมื่อส่งลงสมัครในสังกัดพรรคแล้วประชาชนจะต้องเลือกให้เข้าไปนั่งในสภาอีกแน่นอน โดยยังหมกมุ่นคิดกันว่า เมื่อใช้ “อดีต ส.ส.” ลงสมัครในนามพรรคบวกกับการทุ่มลงไปอีกสัก 30-40 ล้านบาท” ต่อคนต่อเขต พรรคก็จะได้ ส.ส.ใหม่เข้าไป “ชูจักกะแร้” เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ “หน้าเหมือนคนเดิม” ได้อย่างแน่นอน
 
นี่นับเป็นหลักคิดที่ “มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง” ที่เกิดขึ้นในฟากฝั่งประชาชนมายาวนาน แต่กลับยังมองเห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ยัง “เชื่อฟังหัวคะแนน” ซึ่งต้องถือว่าผู้นำพรรคการเมืองเหล่านี้ไม่ได้รับรู้ถึง “กระแสความรู้สึก” ของประชาชนตลอดนับสิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเอาแค่กว่า 4 ปีมานี้ประชาชนจำนวนหนึ่งก็ได้ “เปลี่ยนวิธีคิด” และ “รู้เท่าทัน” บรรดาการเมืองเก่าๆ มากกว่าในอดีตอย่างมากมาย
 
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องแปลกใจที่บางพรรคจึงยัง “หักเหลี่ยม” และ “เฉือนคม” กันอย่างสุดๆ ด้วยการทำทุกวิถีทางชนิด “ไม่ได้ด้วยเลห์ ก็ต้องเอาด้วยกล” หรือ “ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็ต้องเอาด้วยคาถา” เพื่อแย่งชิงตัวอดีต ส.ส.ไปไว้ในสังกัด เพื่อใช้ทั้ง “ต่อรอง” หรือให้ “เจ้าของทุน” ได้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์ว่า หลังการเลือกตั้งหนนี้จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้
 
ในขณะที่ “พรรคเก่าแก่” บางพรรคที่ถ้าเปรียบกับ “วัด” แล้วล่ะก็ระดับ “หัวหน้าพรรค” ที่ยังหนุ่มแน่น ซึ่งต้องนับนั่งตำแหน่งเป็น “เจ้าอาวาส” มาก็ยาวนานแล้ว แต่เวลานี้กลับยังต้องพึ่งพากลวิธีแบบเดิมๆ ด้วยการอาศัย “ศพเจ้าอาวาสองค์เก่ามาแห่แหน “ตระเวนน้ำ ตระเวนบก” เพื่อให้ผู้คนมั่นใจใน “ความศักดิ์สิทธิ์” ทั้งนี้ก็เนื่องจากรู้ว่า “บารมี” ของตนเองไม่สามารถสู้ได้กับ “ศพเจ้าอาวาส นั่นเอง
 
แต่วิธีการเอาชนะคู่แข่งในสนามเลือกตั้งไม่ว่าจะครั้งนี้หรือครั้งไหนๆ มีปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยก็คือ การใช้ยุทธวิธี “บีบไข่” แบบฝาก “ส่งต่อ” กันไปเป็นทอดๆ ด้วยการใช้ความได้เปรียบของการเป็นฝ่ายรัฐบาลที่ถือ “อำนาจ” ไว้ในมือเที่ยวเดินสายไป “บีบบังคับ” บรรดา “ข้าราชการ” ให้ไป “บีบบังคับ” บรรดา “ผู้นำท้องที่” และ “ผู้นำท้องถิ่น” รวมถึง “ผู้นำศาสนา” อีกทอดหนึ่ง แล้วส่งผ่านการ “บีบบังคับ” ลงสู่ “ชาวบ้าน” ให้เดินเข้าคูหากาเบอร์ที่ต้องการของพรรคที่ “หนุนเผด็จการ” นั่นแหละ
 
ก็อย่างที่ “ท่านผู้นำ” ประกาศไว้ว่า ประเทศไทยเราเข้าสู่ยุค 4.0 เต็มตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้ประเด็นการใช้อำนาจรัฐจึง “ปิดไม่มิด” เมื่อผู้ที่ต้องนับว่า “พอได้” ถูกชักชวนให้เข้าไปสังกัดพรรคเพื่อหวังจะส่งลงสมัคร ส.ส. ทั้งในแบบหวังได้หรือเอาแค่ใช้เป็นเครื่องเก็บกวาดคะแนนเสีง เมื่อมีโอกาส “พวกพอได้” ก็มักจะคุยกันโขมงโฉงเฉงว่า พวกเขาได้ถูกพาไปพบกับคนในแก่นแกนอำนาจรัฐมาแล้ว และที่สำคัญ “ชายร่างอ้วน” ตกปากรับคำพวกเขาว่า ถ้ายินยอมสมัครในพรรคใหม่จะมีการใช้อำนาจรัฐช่วยเหลืออย่างเต็มที่
 
ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจที่ยิ่งเข้าใกล้บรรยากาศของการหาเสียงเข้าไปทุกที สารพัดทั้งสิ่งของและเงินตราจึงเริ่มที่จะสะพัด ขณะที่การลดแหลกแจกแถมให้กับประชาชนเพื่อสร้างคะแนนนิยมก็โหมกระหน่ำประกาสกันไปแล้ว โดยเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วย “โน้มน้าว” ให้ประชาชนกาบัตรเลือกผู้สมัคร ส.ส.ตามที่วาดหวังไว้ โดยเฉพาะคนใต้ให้เชื่อเถอะเมื่อใกล้วันหย่อนบัตรเลือกตั้ง “ราคา” พืชเศรษฐกิจหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น “ยาง” หรือ “ปาล์ม” ต่างจะ “โงหัวขึ้น” ด้วยสารพัดมาตรการที่จะถูกเข็นออกมาอีกหลายระลอก ทั้งที่ช่วงเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมาทำไมเขาคิดไม่ออกและทำไม่ได้ก็ไม่รู้นิ
 
ผู้เขียนได้มีโอกาสลงพื้นที่ในหลายภูมิภาคและจังหวัด เฉพาะบนแผ่นดินด้ามขวานก็ทั้งฝั่ง “อ่าวไทย” และฟาก “อันดามัน” ไม่เว้นแม้กระทั่งดินแดน “ปลายด้ามขวาน” ที่ไฟใต้ยังโชนเปลว สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาเต็ม 2 หูคือเรื่องของการ “ใช้เงิน” ในการเลือกตั้ง พรรคการเมืองบางพรรคที่ต้องการ “ล้มแชมป์” ถึงกับประกาศพร้อมจะหว่าน “เขตละ 60 ล้าน” ก็ไม่หวั่น ในขณะที่ “อดีต ส.ส.ย้ายพรรค” บางคนก็แสดงความมั่นอกมั่นใจที่ “ผู้นำตัวจริงเสียงจริง” ของพรรคใหม่จะทุ่มให้ “เขตละ 50 ล้าน” เป็นอย่างน้อย
 
อย่างไรก็ตามเวลานี้เท่าที่เห็นมีเพียงไม่กี่พรรค และเกือบทั้งหมดเป็นพรรคน้องใหม่ บรรดาผู้นำได้ออกมาแย้มพรายพูดถึง “นโยบาย” ต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาของประเทศให้ฟังบ้างแล้ว แต่นั่นก็แทบไม่ได้มีผลอะไรที่ส่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ “ระบบการเมืองแบบไทยๆ” ที่ส่วนใหญ่ยัง “คิดเก่า ทำเก่า วังวนน้ำเน่าจึงยังมีให้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์ชัด
 
ส่วนในฟากฝั่งของ “การจัดการเลือกตั้ง” ในครั้งนี้ ซึ่งมีภาพปรากฏแก่สายตาทั่วไปแล้วในทำนองว่า “ยิ่งติดตาม ยิ่งวังเวง” เพราะจากการพูดคุยกับคนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวบ้านร้านตลาด โดยเฉพาะชนชั้นกลางและชั้นล่างต่างยังไม่มีความรู้ หรือยังไม่เข้าใจใน “รูปแบบการเลือกตั้ง” ครั้งใหม่นี้ที่ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยเฉพาะในเรื่องที่มีการกำหนดไว้ว่า ให้มีการ “กาบัตรเดียว” แต่กลับให้มีผลต่อการจะได้ทั้ง “ส.ส.เขต” และ “ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์” ไปพร้อมๆ กัน
 
ถึงเวลานี้แล้วกลับยังให้ความรู้เรื่องการเลือกตั้งกับประชาชนน้อยมาก ชาวบ้านร้านตลาดรู้กันน้อยมากในเรื่องที่ว่า “ทุกคะแนนมีความหมาย” ตัวอย่างเช่น แม้ผู้สมัคร ส.ส.เขตจะสอบตก แต่ทุกคะแนนที่ประชาชนกาให้จะถูกแปรไปคำนวณให้กับการได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์นั่นเอง เรื่องนี้ดูไปดูมาเหมือนกับว่าผู้ที่เกี่ยวข้อง “จงใจ” ที่จะไม่ให้ชาวบ้านร้านตลาดได้รับรู้และเข้าใจในเรื่องนี้ เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ “ไม่กา” ให้กับคนที่เขาเชื่อว่าจะไม่ได้รับเลือกให้เป็น ส.ส.เขตนั่นเอง
 
ทว่าเชื่อเถอะว่าการเลือกตั้งในครั้งที่กำลังจะมาถึงนี้จะเกิด “ความสับสนอลหม่าน” แน่นอน ตั้งแต่ในเรื่องของการมี “บัตรให้กาใบเดียว” แถม “หมายเลขในบัตรเลือกตั้ง” ของแต่ละพรรคการเมือง ในแต่ละเขตการเลือกตั้งก็ “ไม่ใช่หมายเลขเดียวกัน” อีกทั้งในสนามเลือกตั้งครั้งนี้มี “จำนวนพรรคการเมืองมากมาย” ซึ่งน่าจะไม่ต่ำกว่า 80 พรรค ไม่เพียงเท่านั้นหาก 24 กุมภาพันธ์ 2562” คือวันเลือกตั้งจริง ยิ่งต้องนับว่า “เหลือเวลาน้อยเอามากๆ” จะใช้รณรงค์ทำให้ประชาชนเข้าใจในรูปแบบของการเลือกตั้งที่แปลกใหม่สำหรับประเทศไทยครานี้
 
อย่างไรก็ตามในสิ่งที่คิดกันว่าน่าจะ “เลวร้าย” ที่กล่าวมานั้น ถ้ามองในอีกแง่ก็อาจจะเห็น “ส่วนดี” เกิดขึ้น  เพราะหลังการเลือกตั้งผ่านไปถ้าปรากฏว่า “อดีต ส.ส.ย้ายพรรค” ได้รับการเลือกเข้ามาจำนวนมาก นั่นแสดงย่อมให้เห็นว่าประชาชนคนไทยยังยึดติดกับ “ตัวบุคคล” อย่างเป็นด้านหลัก โดยไม่ได้สนใจไยดีกับ “นโยบาย” ที่แต่ละพรรคใช้เรียกคะแนนเสียง แต่ถ้าเป็นไปในทางตรงข้าวที่กลับมีอดีต ส.ส.สอบตกมากมาย แล้วได้ “ส.ส.หน้าใหม่” เข้าสภามากกว่า นั่นย่อมแสดงว่าคนไทย “เลือกนโยบายพรรค” ที่ถูกใจ อันต้องถือเป็น “ความเปลี่ยนแปลง” ที่ต้องจับกันต่อไป
 
สำหรับภาคใต้ก็ต้องรอดูว่า “แม่ธรณีบีบมวยผม” จะยังมีมนต์ขลังหรือเปล่า “เสาไฟฟ้า” ยังได้เป็น ส.ส.อีกหรือ “การเมืองไทย” ยังย่ำเท้าอยู่กับที่หรือไม่ และสุดท้ายกว่า 4 ปีของ “รัฐบาล คสช.” คือความสูญเปล่าของ “การปฏิรูปการเมือง” ไหม?!
 


กำลังโหลดความคิดเห็น