โดย…ไชยยงค์ มณีพิลึก
ในที่สุด “ยุทธการหนองจิก” ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ภายใต้การใช้กฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็ “บานปลาย” กลายเป็นความขัดแย้งระหว่าง ”ไทยพุทธ” กับ “มุสลิม” อย่างชัดเจนไปโดยปริยาย ที่สำคัญเป็นไปตามความต้องการของ “บีอาร์เอ็นฯ” ในยุทธศาสตร์ที่ต้องการ “แยกคน” 2 ศาสนาออกจากกัน เป็นแผนการทำลาย “สังคมพาหุวัฒนธรรม” ที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างได้ผลที่สุด
ภาพนักศึกษากลุ่ม “เปอร์มาส” จากรั้ว ม.อ.ปัตตานีที่คนไทยพุทธเชื่อว่าเป็น “ปีกการเมือง” ของบีอาร์เอ็นฯ ที่ได้ลงพื้นที่ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก พื้นที่ที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ประกาศใช้กฎอัยการศึกเพื่อจัดการขั้นเด็ดขาดกับโจรใต้ถูกตีความว่าเป็น “นักศึกษาที่ปกป้องโจร”
ภาพ “กลุ่มประชาสังคมมุสลิม” ที่ลงพื้นที่ไปดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน อ.หนองจิกหลังทหารใช้ “ยาแรง” ถูก สังคมคนไทยพุทธตราหน้าว่า นี่ก็คือ “องคาพยพ” หนึ่งของขบวนการแบ่งแยกดินแดนบนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งที่การออกมาเคลื่อนไหวทั้งของ “ขบวนการนักศึกษา” และ “ขบวนการภาคประชาสังคม” อาจะไม่ได้เป็นฝ่ายของขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรือหนุนโจรใต้ก็ได้ แต่เป็นความเคลื่อนไหวตาม “พันธกิจ” และ “จิตวิญญาณ” ที่แท้จริง เพื่อแสดงถึง “จุดยืน” ที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎอัยการศึกในการแก้ปัญหาความรุนแรง และความไม่สงบบนแผ่นดินปลายด้ามขวานแห่งนี้
แต่เมื่อ “ความเชื่อ” กับ “ความรู้สึก” อยู่เหนือ “เหตุผล” ทั้งปวงและถูกสร้างให้เกิดขึ้นในสังคมแห่งนี้ องค์กรไหนหรือใครก็ตามที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎอัยการศึก นั่นก็อาจจะถูก “ตราหน้า” ว่าคือ องค์กรหรือกลุ่มคนที่สนับสนุนโจรใต้หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปได้
ภาพการออกมาเคลื่อนไหวทั้ง “ออกแถลงกาณณ์” และ “วางหรีด” ของกลุ่มคนไทยพุทธที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของขบวนนักศึกษาและภาคประชาสังคมดังกล่าว มันคือภาพที่เด่นชัดที่สุดที่ “สื่อ” ให้เห็นถึง “ความร้าวฉาน” หรือ “ความแตกแยก” ที่ขยายวงกว้างขึ้นระหว่างคนไทยพุทธกับคนมุสลิม ซึ่งหากยังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ในอนาคตคงจะยากต่อการ “เยียวยา” นั่นก็คือภาวะ “สงครามศาสนา” ก็อยู่จะไม่ไกลนัก
ถามว่าเห็นด้วยไหมกับการใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ที่มีเหตุการณ์ความรุนแรง ตอบว่าเห็นด้วยอย่างแน่นอน ถ้าการใช้ยาแรงอย่างกฎอัยการศึกษาสามารถที่จะทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้มี “ความปลอดภัย” สามารถทำให้โจรใต้หรือแนวร่วม หรือสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดนหมดไป พร้อมๆ กับสามารถนำ “สันติสุข” กลับคืนได้
แต่ถ้าใช้กฎอัยการศึกแล้วทำได้แค่ “จับกุมชาวบ้าน” ที่เป็น “แนวร่วมหางแถว” ได้เพียง 8-9 คน ทว่าสุดท้ายกลับสร้าง “ความแตกแยก” สร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิดขึ้นตามมามากมายอย่างที่เกิดขึ้นแล้วกับยุทธการหนองจิก นั่นต้องถือว่าเป็นการ “ได้ไม่คุ้มเสีย” และเป็นการ “ขี่ช้างจับตั๊กแตก” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ใช่หรือไม่
ถูกต้องที่ “ต.บางเขา” กับ “ต.ท่ากำชำ” รวมถึงอีกหลายตำบลใน อ.หนองจิกเป็น “แหล่งบ่มเพาะ” เป็น“แหล่งซ่องสุม” และเป็น “แหล่งหลบซ่อน” ของโจรใต้มาตั้งแต่ก่อนปี 2547 โดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ใช้เวลาตลอด 14 ปีที่เกิดไฟใต้ระลอกใหม่ในการตรวจค้น จับกุมและทำงานมวลชนในพื้นที่ แต่สุดท้ายกลับ “สูญเปล่า” จนต้องใช้กฎอัยการศึกเข้าแก้ปัญหา
อันเป็นห้วงเวลาก่อนที่ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ “ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะเกษียณอายุราชการเพียงไม่กี่วัน ดังนั้นจึงมีคำถามว่า เป็นห้วงเวลา “14 ปีแห่งความล้มเหลว” ของ “กองทัพ” และเป็นห้วงเวลา “2 ปีแห่งความสูญเปล่า” ของ “แม่ทัพภาคที่ 4” ใช่หรือไม่
และจะเชื่อได้อย่างไรว่า การใช้กฎอัยการศึกเข้าไป “สำรวจทรัพย์สิน” “ตรวจสอบบุคคล” และ “จับกุมแนวร่วมปลายแถว” ได้ 8-9 คนแล้ว ในอนาคตถ้ามีการการเลิกใช้การกฎอัยการศึก อ.หนองจิกแห่งนี้จะเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” เพราะผลเชิงประจักษ์ที่เห็นคือ เป็นการใช้ “กองกำลังนับพัน” ตรึงพื้นที่ทั้งทาง “บก-น้ำ-อากาศ”โดยสิ่งที่ได้คือ “ข้อมูล” เท่านั้น แต่ในแนวทางการ “สร้างมวลชน” และ “แย่งชิงมวลชน” ยังไม่เห็นอะไรที่เด่นชัด
แถมหลังการเปิดยุทธการหนองจิกครั้งนี้ นอกจากจะไม่ได้มวลชนเพิ่มขึ้นแล้ว กลับยังทำให้มวลชนในพื้นที่อาจจะ“เกลียดชัง” หรือมี “ปฏิกิริยาลบ” ต่อเจ้าหน้าที่กลับเพิ่มขึ้นมากมาย ซึ่งนั่นถือว่าเป็นไปตามทิศทางที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่างบีอาร์เอ็นฯ เป็นผู้กำหนดก็ได้ เพราะทั้งฟังน้ำเสียงและดูท่าทีของชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบแล้วพบว่า พวกเขาต่าง “อึดอัด” กับการประกาศใช้กฎอัยการศึกในครั้งนี้
ถามว่าเมื่อกลุ่มนักศึกษาเปอร์มาสและภาคประชาสังคมเกิดความขัดแย้งหนักกับกลุ่มคนไทยพุทธ แล้วภาคประชาสังคมกลุ่มใหญ่ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ให้งบประมาณสนับสนุนปีละกว่า 50 ล้านบาทให้ทำโครงการต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดเงื่อนไข สร้างสันติสุขและสันติภาพนั้น ทำไมภาคประชาสังคมที่รับเงินงบประมาณรัฐเหล่านี้ไม่ออกมา “แก้ต่าง” หรือ “ทำความเข้าใจ” ในวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น
หรือว่าเวลานี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กลายเป็น “หน่วยงานโดดเดี่ยว” ที่ไม่มีภาคประชาสังคมใดๆ อยากคบหาสมาคมหรือสุงสิงด้วย จึงไม่เห็นแม้เงา “ภาคประชาสังคมใต้ปีกรัฐ” ออกมาให้การช่วยเหลือหรือสนับสนุนแม้แต่องค์กรเดียว
เรื่องราวที่ “บานปลาย” จากการบังคับใช้กฎอัยการศึกภายใต้ยุทธการหนองจิกครั้งนี้สรุปได้สั้นๆ ว่า สิ่งที่ได้รับคือ “ความแตกแยกขั้นรุนแรง” ระหว่างคนไทยพุทธกับมุสลิม และหากหน่วยงานความมั่นคงยังไม่ “ยี่หระ” ไม่วิเคราะห์แล้วนำมาใช้เป็น “บทเรียน” อย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่และเป็นวิกฤตที่ “ซ้ำเติมไฟใต้” อย่างอยากที่จะหาที่สิ้นสุด
ถ้าเวลานี้ผู้นำรัฐบาลและ คสช.จะลด “เล่นการเมือง” เพื่อให้ได้กลับมาครองอำนาจหลังการเลือกตั้ง แล้วหันมาให้เวลากับการ “ดับไฟใต้” สักเสี้ยวหนึ่งบ้าง บางทีคะแนนเสียงในพื้นที่อาจกระเตื้องขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยบรรดา “นายพลนอกราชการ” เที่ยวไปเดิน “บีบไข่” นักการเมืองท้องถิ่น ผู้นำท้องที่และข้าราชการ จนกลายเป็น “ขี้ปาก” ชาวบ้านอย่างที่เป็นอยู่ก็ได้