xs
xsm
sm
md
lg

ชกหมัดตรง : เมื่อ “ยุทธการหนองจิก” ทำให้ภาพ “สงครามศาสนา” ยิ่งเด่นชัด ถือเป็น 14 ปีแห่งความล้มเหลวของ “กองทัพ” และ 2 ปีแห่งความสูญเปล่าของ “แม่ทัพภาคที่ 4” ได้หรือไม่ / ถ้า “ท่านผู้นำ” สนใจดับไฟใต้สักนิดคงได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
โดย…ไชยยงค์ มณีพิลึก
 

 
ในที่สุด “ยุทธการหนองจิก” ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ภายใต้การใช้กฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็ “บานปลาย” กลายเป็นความขัดแย้งระหว่าง ”ไทยพุทธ” กับ “มุสลิม” อย่างชัดเจนไปโดยปริยาย ที่สำคัญเป็นไปตามความต้องการของ “บีอาร์เอ็นฯ” ในยุทธศาสตร์ที่ต้องการ “แยกคน” 2 ศาสนาออกจากกัน เป็นแผนการทำลาย “สังคมพาหุวัฒนธรรม” ที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างได้ผลที่สุด
 
ภาพนักศึกษากลุ่ม “เปอร์มาส” จากรั้ว ม.อ.ปัตตานีที่คนไทยพุทธเชื่อว่าเป็น “ปีกการเมือง” ของบีอาร์เอ็นฯ ที่ได้ลงพื้นที่ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก พื้นที่ที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ประกาศใช้กฎอัยการศึกเพื่อจัดการขั้นเด็ดขาดกับโจรใต้ถูกตีความว่าเป็น “นักศึกษาที่ปกป้องโจร”
 
ภาพ “กลุ่มประชาสังคมมุสลิม” ที่ลงพื้นที่ไปดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน อ.หนองจิกหลังทหารใช้ “ยาแรง” ถูก สังคมคนไทยพุทธตราหน้าว่า นี่ก็คือ “องคาพยพ” หนึ่งของขบวนการแบ่งแยกดินแดนบนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
ทั้งที่การออกมาเคลื่อนไหวทั้งของ “ขบวนการนักศึกษา” และ “ขบวนการภาคประชาสังคม” อาจะไม่ได้เป็นฝ่ายของขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรือหนุนโจรใต้ก็ได้ แต่เป็นความเคลื่อนไหวตาม “พันธกิจ” และ “จิตวิญญาณ” ที่แท้จริง เพื่อแสดงถึง “จุดยืน” ที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎอัยการศึกในการแก้ปัญหาความรุนแรง และความไม่สงบบนแผ่นดินปลายด้ามขวานแห่งนี้
 
แต่เมื่อ “ความเชื่อ” กับ “ความรู้สึก” อยู่เหนือ “เหตุผล” ทั้งปวงและถูกสร้างให้เกิดขึ้นในสังคมแห่งนี้ องค์กรไหนหรือใครก็ตามที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎอัยการศึก นั่นก็อาจจะถูก “ตราหน้า” ว่าคือ องค์กรหรือกลุ่มคนที่สนับสนุนโจรใต้หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปได้
 
ภาพการออกมาเคลื่อนไหวทั้ง “ออกแถลงกาณณ์” และ “วางหรีด” ของกลุ่มคนไทยพุทธที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของขบวนนักศึกษาและภาคประชาสังคมดังกล่าว มันคือภาพที่เด่นชัดที่สุดที่ “สื่อ” ให้เห็นถึง “ความร้าวฉาน” หรือ “ความแตกแยก” ที่ขยายวงกว้างขึ้นระหว่างคนไทยพุทธกับคนมุสลิม ซึ่งหากยังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ในอนาคตคงจะยากต่อการ “เยียวยา” นั่นก็คือภาวะ “สงครามศาสนา” ก็อยู่จะไม่ไกลนัก
 
ถามว่าเห็นด้วยไหมกับการใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ที่มีเหตุการณ์ความรุนแรง ตอบว่าเห็นด้วยอย่างแน่นอน ถ้าการใช้ยาแรงอย่างกฎอัยการศึกษาสามารถที่จะทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้มี “ความปลอดภัย” สามารถทำให้โจรใต้หรือแนวร่วม หรือสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดนหมดไป พร้อมๆ กับสามารถนำ “สันติสุข” กลับคืนได้
 
แต่ถ้าใช้กฎอัยการศึกแล้วทำได้แค่ “จับกุมชาวบ้าน” ที่เป็น “แนวร่วมหางแถว” ได้เพียง 8-9 คน ทว่าสุดท้ายกลับสร้าง “ความแตกแยก” สร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิดขึ้นตามมามากมายอย่างที่เกิดขึ้นแล้วกับยุทธการหนองจิก นั่นต้องถือว่าเป็นการ “ได้ไม่คุ้มเสีย” และเป็นการ “ขี่ช้างจับตั๊กแตก” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ใช่หรือไม่
 
ถูกต้องที่ “ต.บางเขา” กับ “ต.ท่ากำชำ” รวมถึงอีกหลายตำบลใน อ.หนองจิกเป็น “แหล่งบ่มเพาะ” เป็น“แหล่งซ่องสุม” และเป็น “แหล่งหลบซ่อน” ของโจรใต้มาตั้งแต่ก่อนปี 2547 โดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ใช้เวลาตลอด 14 ปีที่เกิดไฟใต้ระลอกใหม่ในการตรวจค้น จับกุมและทำงานมวลชนในพื้นที่ แต่สุดท้ายกลับ “สูญเปล่า” จนต้องใช้กฎอัยการศึกเข้าแก้ปัญหา
 
อันเป็นห้วงเวลาก่อนที่ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ “ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะเกษียณอายุราชการเพียงไม่กี่วัน ดังนั้นจึงมีคำถามว่า เป็นห้วงเวลา “14 ปีแห่งความล้มเหลว” ของ “กองทัพ” และเป็นห้วงเวลา “2 ปีแห่งความสูญเปล่า” ของ “แม่ทัพภาคที่ 4” ใช่หรือไม่
 
และจะเชื่อได้อย่างไรว่า การใช้กฎอัยการศึกเข้าไป “สำรวจทรัพย์สิน” “ตรวจสอบบุคคล” และ “จับกุมแนวร่วมปลายแถว” ได้ 8-9 คนแล้ว ในอนาคตถ้ามีการการเลิกใช้การกฎอัยการศึก อ.หนองจิกแห่งนี้จะเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” เพราะผลเชิงประจักษ์ที่เห็นคือ เป็นการใช้ “กองกำลังนับพัน” ตรึงพื้นที่ทั้งทาง “บก-น้ำ-อากาศ”โดยสิ่งที่ได้คือ “ข้อมูล” เท่านั้น แต่ในแนวทางการ “สร้างมวลชน” และ “แย่งชิงมวลชน” ยังไม่เห็นอะไรที่เด่นชัด
 
แถมหลังการเปิดยุทธการหนองจิกครั้งนี้ นอกจากจะไม่ได้มวลชนเพิ่มขึ้นแล้ว กลับยังทำให้มวลชนในพื้นที่อาจจะ“เกลียดชัง” หรือมี “ปฏิกิริยาลบ” ต่อเจ้าหน้าที่กลับเพิ่มขึ้นมากมาย ซึ่งนั่นถือว่าเป็นไปตามทิศทางที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่างบีอาร์เอ็นฯ เป็นผู้กำหนดก็ได้ เพราะทั้งฟังน้ำเสียงและดูท่าทีของชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบแล้วพบว่า พวกเขาต่าง “อึดอัด” กับการประกาศใช้กฎอัยการศึกในครั้งนี้
 
ถามว่าเมื่อกลุ่มนักศึกษาเปอร์มาสและภาคประชาสังคมเกิดความขัดแย้งหนักกับกลุ่มคนไทยพุทธ แล้วภาคประชาสังคมกลุ่มใหญ่ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ให้งบประมาณสนับสนุนปีละกว่า 50 ล้านบาทให้ทำโครงการต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดเงื่อนไข สร้างสันติสุขและสันติภาพนั้น ทำไมภาคประชาสังคมที่รับเงินงบประมาณรัฐเหล่านี้ไม่ออกมา “แก้ต่าง” หรือ “ทำความเข้าใจ” ในวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น
 
หรือว่าเวลานี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กลายเป็น “หน่วยงานโดดเดี่ยว” ที่ไม่มีภาคประชาสังคมใดๆ อยากคบหาสมาคมหรือสุงสิงด้วย จึงไม่เห็นแม้เงา “ภาคประชาสังคมใต้ปีกรัฐ” ออกมาให้การช่วยเหลือหรือสนับสนุนแม้แต่องค์กรเดียว
 
เรื่องราวที่ “บานปลาย” จากการบังคับใช้กฎอัยการศึกภายใต้ยุทธการหนองจิกครั้งนี้สรุปได้สั้นๆ ว่า สิ่งที่ได้รับคือ “ความแตกแยกขั้นรุนแรง” ระหว่างคนไทยพุทธกับมุสลิม และหากหน่วยงานความมั่นคงยังไม่ “ยี่หระ” ไม่วิเคราะห์แล้วนำมาใช้เป็น “บทเรียน” อย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่และเป็นวิกฤตที่ “ซ้ำเติมไฟใต้” อย่างอยากที่จะหาที่สิ้นสุด
 
ถ้าเวลานี้ผู้นำรัฐบาลและ คสช.จะลด “เล่นการเมือง” เพื่อให้ได้กลับมาครองอำนาจหลังการเลือกตั้ง แล้วหันมาให้เวลากับการ “ดับไฟใต้” สักเสี้ยวหนึ่งบ้าง บางทีคะแนนเสียงในพื้นที่อาจกระเตื้องขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยบรรดา “นายพลนอกราชการ” เที่ยวไปเดิน “บีบไข่” นักการเมืองท้องถิ่น ผู้นำท้องที่และข้าราชการ จนกลายเป็น “ขี้ปาก” ชาวบ้านอย่างที่เป็นอยู่ก็ได้
 


กำลังโหลดความคิดเห็น