xs
xsm
sm
md
lg

การสังหาร “แม่เฒ่าชาวพุทธ” ที่ “ไอร์บาลอ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 
พัทธ์ธีรา  นาคอุไรรัตน์  อาจารย์และนักวิจัยภาคสนาม สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
.
.
ก่อนพลบค่ำวันที่ 8 กันยายน 2561 คนร้ายไม่ทราบจำนวนแยกปฏิบัติการสองสาย สายหนึ่งบุกเข้ายิง “แม่เฒ่า” ชาวไทยพุทธ นางอวบ อุทัย อายุ 75 ปี ขณะอยู่เพียงลำพังในบ้านของเธอที่ หมู่ 6 บ้านไอร์บาลอ ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส อีกสายหนึ่งกราดยิง นางวรรณเพ็ญ อุทัย “ลูกสะใภ้” ของแม่เฒ่าเข้าที่ด้านหลัง กระสุนถูกขาทั้งสองข้าง โชคดีว่าลูกสะใภ้ของแม่เฒ่าไม่ได้ถูกยิงเข้าที่จุดสำคัญที่จะทำให้เสียชีวิต
 
แม้ครั้งนี้ลูกสะใภ้ของแม่เฒ่าจะโชคดีที่ไม่ตายตกไปตามกัน แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับ “ตายทั้งเป็น” เพราะ “แม่เฒ่า” เป็นแม่สามีที่เธอเคารพรักและผูกพัน ในขณะที่ “ภาพสามี” คู่ชีวิตที่ยิ่งผูกพันยิ่งกว่าถูกกระหน่ำยิงต่อหน้าคงมิต้องสรรหาคำพูดใด และไม่อาจสรรหาคำใดมาบรรยายความรู้สึกที่ฝังลึกในจิตใจของเธอได้ในยามนี้
 
ประเด็นที่สำคัญที่สุดในกรณีนี้คือ เหยื่อความรุนแรงทั้งสองเป็น “ผู้หญิง” คนหนึ่ง “ชรา” ไม่มีทางต่อสู้ได้ อีกคนหนึ่งเป็น “ครู กศน.” ที่ลูกศิษย์ลูกหาเคารพ เพื่อนบ้านรักใคร่
 
ที่น่าเศร้าคือ แม่เฒ่ามิได้จากไปเพียงลำพัง เพราะคนร้ายได้กราดยิงลูกชายวัย 56 ปีของแม่เฒ่า นายศรีบุญเรือง อุทัย สามีของนางวรรณเพ็ญ
 
ที่เกิดเหตุเป็นช่วงรอยต่อระหว่างชุมชนไทยพุทธเข้มแข็ง และกล่าวได้ว่าเป็นชุมชนที่น่าจะเหลือเป็นชุมชนใหญ่คือ มีชาวพุทธประมาณหนึ่งร้อยครอบครัว จำนวนคนประมาณ 400 คน กับชุมชมมุสลิมที่อยู่ติดกัน และแวดล้อมด้วยชุมชนมุสลิม ชุมชนไอร์บาลอเป็นชุมชนไข่แดง ทว่าก็อยู่ร่วมกับพี่น้องมุสลิมมาได้ด้วยดีเสมอมา
 
เหตุการณ์ข้างต้นสำคัญและต้องตั้งคำถามกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนที่อยู่ร่วมในพื้นที่แห่งนั้นว่า เราท่านทั้งหลายควรมีท่าทีอย่างไรต่อการทำร้ายประชาชนที่ไม่แม้แต่จะสามารถจะป้องกันตัวเองได้ ยังไม่ต้องคิดเลยไปไกลถึงว่าจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับท่านผู้ถืออาวุธและใช้มันไล่ล่าสังหารผู้คนอย่างไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแม้แต่ “แม่เฒ่าชรา” ที่ตามสภาพธรรมชาติท่านก็คงอยู่เป็นร่มโพธิ์หลักยึดเหนี่ยวทางใจให้ลูกหลานญาติมิตรได้ไม่เกิน 50 ปีข้างหน้า
 
สิ้นเสียงปืน และข่าวสารที่ส่งเข้าสู่ชุมชนและส่งออกนอกพื้นที่ ข้อครหาที่หนักหน่วงและอาจจะไม่เป็นธรรมสำหรับผู้ศรัทธาในหนทางทางศาสนาที่ถูกต้องงดงามและสันติแท้จริง คือ “คนทำต้องเป็นพวกอิสลาม”
 
หากแต่ผู้เขียนแม้มิใช่มุสลิม แต่ศึกษาหลักการของศาสนาอิสลามมาบ้างก็ตระหนักดีว่า การสังหารสตรี คนชรา และผู้อ่อนแอไม่มีทางสู้ ไม่ใช่หนทางของศาสนาอิสลาม ทั้งยังต้องถูกพิพากษาโทษอย่างหนักถึงขั้นให้ตกนรก
 
บาปความผิดที่ยิ่งใหญ่ และถือเป็นความชั่วร้ายที่สุดทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ รองลงมาจากการตั้งตัวเป็นภาคีต่ออัลลอฮฺ คือ การฆ่าชีวิตที่บริสุทธิ์ (อุศนา พ่วงศิริ, แปล. 2014-1435)
 
นอกจากนี้ หลักธรรมคำสอนศาสนาอิสลามตามคัมภีร์อัลกุรอาน บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 32 ว่า
 
“หากผู้ใดฆ่าผู้บริสุทธิ์แม้เพียงคนเดียว เท่ากับฆ่ามนุษย์ทั้งโลก และหากผู้ใดรักษาชีวิตมนุษย์แม้เพียงคนเดียว เท่ากับรักษาชีวิตมนุษย์ทั้งโลก”
 
ยิ่งกว่านั้น ท่านนบีมุฮัมมัด ได้มีการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการ
 
ห้ามทำร้ายพระและนักบวช รวมทั้งศาสนสถานของทุกศาสนา ตลอดจนห้ามการทำร้ายศพ ห้ามทำร้ายเด็ก สตรี คนชรา และประชาชนผู้บริสุทธิ์
 
และยังกล่าวว่า
 
“ฉันคือศัตรูกับใครก็ตามที่ทำร้ายเพื่อนต่างศาสนิกให้ได้รับบาดเจ็บ และหากฉันเป็นศัตรูกับใครแล้ว ฉันจะไปยืนยันสิ่งนั้นต่อพระผู้เป็นเจ้าในวันพิพากษา”
 
รวมทั้งท่านนบี ยังกล่าวอีกว่า
 
“ผู้ใดทำร้ายคนที่ไม่ใช่มุสลิม เท่ากับทำร้ายฉัน และผู้ใดที่ทำร้ายฉัน ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับพระผู้เป็นเจ้า”
 
ดังนั้นแล้ว ผู้เขียนจึงเห็นว่า คำร่ำลือและข้อครหาว่า “อิสลามเป็นคนทำ” จึงอาจจะไม่ใช่ความจริง
 
แล้วใครกันที่เป็นคนลงมือกราดยิง “แม่เฒ่า” และลูกหลานของนางที่เป็น “ชาวพุทธ” กันเล่า?
 
ข้อครหาตลอดจนข่าวลือคำเล่าอ้างดังกล่าว เราท่านจะช่วยกันไขแสดงให้ความจริงปรากฏได้อย่างไร ซึ่งสำคัญเท่าๆ กับการจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนต่างศาสนาและวัฒนธรรมที่ถูกความรุนแรงครั้งนี้กระแทกใส่จนแทบไม่เหลือเยื่อใยดีกันได้อย่างไร?
 
แน่นอนว่าคำถามต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ดูแลปกป้องพลเรือนโดยตรงนั้นมีแน่ชัด กว่าทศวรรษที่ผ่านมางบประมาณที่ทุ่มเทลงไปในพื้นที่มหาศาล เพื่อการปกป้องพลเรือนเป็นอันดับแรก แต่การที่ยังมีเหตุร้ายรายวันเกิดขึ้นแก่พลเรือนที่เป็นเป้าหมายอ่อนยังคงเกิดขึ้นทุกวัน สะท้อนคำถามถึงประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ปกป้องพลเรือนของรัฐ และเป็นคำถามที่ท่านไม่สามารถจะปฏิเสธความรับผิดชอบและต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นอย่างที่สุดและเร่งด่วนที่สุด
 
คำถามที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ ในระยะหลังๆ ชาวพุทธตกเป็นเหยื่อสังหารรายวันถี่ขึ้น ในขณะที่เสียงสะท้อนมากมายในพื้นที่จากปากคำของพี่น้องชาวมุสลิมคนกลุ่มใหญ่ของชายแดนใต้คล้ายจะพยายามส่งความปรารถนาว่า มีความต้องการอยู่ร่วมกันกับพี่น้องชาวพุทธอย่างสันติดั่งที่เคยเป็นมาในอดีต
 
และการทำงานภาคสนามของผู้เขียนเอง ก็มีประสบการณ์ตรงที่สะท้อนเจตนารมณ์และความมุ่งมาดปรารถนาเช่นนั้น จนเป็นที่ประจักษ์ในหลายพื้นที่ รวมทั้งที่ “ไอร์บาลอ” ด้วยเช่นกัน ชุมชนพุทธ-มุสลิมอยู่ติดกัน ไปมาหาสู่กัน เป็นเพื่อนกัน และ “แม่เฒ่า” ที่ถูกพรากชีวิตนั้น มีลูกหลานเป็นมุสลิม หลานสะใภ้ที่เพิ่งนิกะห์ (แต่งงาน) ไปไม่นานก็เป็นพยานอีกคนที่มีชีวิตบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ดีและการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
 
แต่ไฉนเหตุการณ์ร้ายที่มีความโน้มเอียงไปในทางที่จะไล่ล่าสังหารชาวพุทธยังปรากฏซ้ำถี่ขึ้น จนไม่เกินที่ชาวบ้านทั่วไปจะร่ำลือกันว่า พี่น้องชาวมุสลิมไม่ต้องการจะให้เพื่อน ญาติ พี่น้องชาวพุทธอยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้เสียแล้ว ขณะที่ “ครูเพ็ญ” เป็นชาวไทยพุทธคนเดียวก็ว่าได้ในเวลานี้ที่เป็น “ครูสอนภาษานายู (มลายู)” ให้ลูกศิษย์ลูกหานับไม่ถ้วน ภาษาที่เชื่อมร้อยผู้คนต่างศรัทธาเข้าด้วยกัน
 
ในห้วงยามนี้ ผู้เขียนเข้าใจดีว่าความโกรธ ความเสียใจ ความสูญเสียเป็นสิ่งที่ห้ามมิได้ โดยเฉพาะในฟากฝั่งของพี่น้องชาวพุทธที่รู้สึกว่าเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำให้ต้องสูญเสีย และมนุษย์เราสมควรจะโกรธ เสียใจ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องสูญเสีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีการกราดยิงแม่เฒ่า ลูกชาย ลูกสะใภ้ และเพื่อนบ้านเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2561
 
เพราะเป็นเหตุที่จะก่อให้เกิดการแยกขาด “ความเป็นมิตร” ของพี่น้องต่างศาสนิกที่อยู่ร่วมสังคม
 
หากแต่ก็มีความท้าทายที่สำคัญและเป็นคำถามที่ผู้เขียนอยากได้ยินคำตอบที่ยืนยันชัดเจนว่า พี่น้องชาวมุสลิมที่เป็นคนกลุ่มใหญ่จะลุกขึ้นมาส่งเสียงและช่วยกันปกป้องชาวพุทธอย่างไร ในขณะที่พี่น้องที่เป็นชาวพุทธนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาแห่งการไม่ฆ่า เพราะหลักศีลข้อ 1 ระบุไว้ชัดเจนดีแล้ว
 
และคนอื่นๆ ที่รู้สึกรู้สากับเหตุการณ์ร้ายดังกล่าวนี้ จะจัดการกับความโกรธ ความเกลียด และความกลัว เพื่อก้าวผ่านไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้อย่างไร ในสถานการณ์ที่ยังคงถูกท้าทายรายวัน เช่นอีกหนึ่งวันให้หลังคือ วันที่ 9 กันยายน 2561  ชายชาวพุทธที่เป็นพ่อค้ารับซื้อทุเรียนถูกยิงตายคาแคร่ที่นอนพักข้างกองทุเรียนในพื้นที่ชายแดนใต้อีกแล้ว!
 


กำลังโหลดความคิดเห็น