xs
xsm
sm
md
lg

เฮ้ย! ไฟใต้ในมือ “รัฐบาล คสช.” ทำไมยังมากมาย “ลับ ลวง พราง” จังนิ? / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก

 
 
ถ้าไม่นับ “เสียงปืน” ที่ทำให้ “ไทยพุทธ” และ “มุสลิม” ในพื้นที่ต้องตกตายแบบที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สรุปสาเหตุว่า เป็นการตายเพราะขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรือเรื่องส่วนตัว กับเสียงระเบิดแสวงเครื่องที่ยังคงเกิดขึ้นปะปราย ซึ่งนับเป็นเรื่อง “ปกติ” ของแผ่นดินปลายด้ามขวานนั้น
 
ต้นเดือน ก.พ.นี้ก็มีเรื่องที่มี “สาร” ควรแก่การ “รับรู้” เพราะเกี่ยวพันกับการดับไฟใต้คือ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีการจัดงานใหญ่เพื่อประชาสัมพันธ์ “โครงการพาคนกลับบ้าน” ครั้งใหญ่ โดยมี พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาส ผบ.ทบ. เป็นประธาน
 
นั่นแสดงให้เห็นว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า  “แน่แน่ว” กับโครงการพาคนกลับบ้าน โดยเชื่อว่าสามารถสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะถูกวิพากษ์จากกลุ่ม “คนไทยพุทธ” ในพื้นที่ถึงขนาดที่เรียกโครงการนี้เสียใหม่ว่า “พาโจรกลับบ้าน” ก็ตาม
 
นั่นแสดงให้เห็นว่า โครงการพาคนกลับบ้านจะเป็น “โจทย์ใหญ่” ที่ กอ.รมน.ยังต้องทำความเข้าใจถึง “ข้อดี” ให้กับคนในพื้นที่ได้เข้าใจมากกว่านี้ และให้เห็นด้วยกับ “ข้อดี” ที่ กอ.รมน.ชี้ชัดว่ามีมากกว่า “ข้อเสีย”
 
และในวันที่ 3 ก.พ.ก็จะเป็นวัน “สัญลักษณ์” ของกลุ่มนักศึกษาที่เรียกขานกลุ่มตนเองว่า “เปอร์มาส” ซึ่งมีการกำหนดให้ทุกวันที่ 3 ก.พ.เป็น “วันมนุษยธรรมปาตานี” โดยการนำเอาเหตุการณ์ที่ครอบครัว “นายเจ๊ะมุ มะมัน” ที่ถูกฆ่าตายมาเป็นสัญลักษณ์ เพื่อการเคลื่อนไหวในการ “ตอกย้ำ” กับเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน
 
โดยข้อเท็จจริงแล้วกรณีของครอบครัว “มะมัน” เป็นเรื่องการ “ล้างแค้น” ที่น่าจะใช้ในการเป็นสัญลักษณ์ในการเป็นวันมนุษย์ธรรมปาตานีไม่ได้ แต่เมื่อทางการปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า การมีวันมนุษยธรรมปาตานีจะส่งผลอะไรกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
 
ส่วนเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันในขณะนี้คือ “ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ” และ “ขบวนการพูโล” จะมีอยู่จริงหรือไม่จริง และจะเป็นผู้ก่อเหตุความรุนแรงใน 14 ปีที่ผ่านมาจริงหรือไม่จริง วันนี้ยังกลายเป็นข้อถกเถียงกันระหว่าง “นายใหญ่” ในพื้นที่กับ “นายใหญ่” หลายคนในคณะรัฐบาล ซึ่งคงจะไม่มีคำตอบที่ชี้ชัดจากฝ่ายที่เป็นผู้บริหารประเทศอย่างแน่นอน
 
แต่ผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าสถานการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมาถึง 14 ปี โดยมีคนในพื้นที่ทั้งพุทธและมุสลิมเป็นเหยื่อตกตายไปแล้วกว่า 7,00 คน บาดเจ็บหลายหมื่นคน นั่นมาจากการ “สั่งการ” ของใคร และบีอาร์เอ็นฯ มีจริงหรือไม่ คนในพื้นที่และ เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติในพื้นที่ย่อมมีคำตอบอยู่ในใจ
 
ในขณะที่กลุ่มคนพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายต่อหลายกลุ่มที่เคลื่อนไหวเป็น “นักเลงคีบอร์ด” ในโลกของโซเชียลมีเดียก็ได้สะท้อนข้อมูล ข้อเท็จจริงของสาเหตุและสถานการณ์อย่าง “เข้มข้น” จึงอยู่ที่ ผู้บริหารประเทศจะรับรู้และรับฟังหรือไม่
 
แต่ที่แน่ๆ หลังจากที่เป็นข่าวจาก “นายใหญ่ในพื้นที่” ถึงการ “สูญสิ้น” ทั้งบีอาร์เอ็นฯ และพูโลเพียงไม่กี่เพลา ขบวนการพูโลก็มีการแสดงตัวตนแบบ “สวนควันปืน” ด้วยการจัดประชุมประจำปีขึ้น เพื่อเฟ้นหาผู้นำคนใหม่ เนื่องจาก “กาแม ยูโซ๊ะ” ผู้นำคนเก่าเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี 2560
 
การจัดประชุมของขบวนการพูโลครั้งนี้ มีประเด็นที่ควรแก่การสนใจอยู่ 3 ประการคือ
 
ประเด็นแรกเป็นการประชุมหลังจากที่ “เป็นข่าว” ว่าขบวนการพูโลไม่มีอยู่แล้ว และไม่ใช่เป็นผู้ก่อเหตุความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมองได้ว่าเป็นการประชุมอย่าง “รีบด่วน” เพื่อแสดงให้สังคมเห็นว่าพูโลยังมีอยู่
 
ประเด็นที่ 2 การประชุมครั้งนี้ พูโลเจตนาที่จะให้ “เป็นข่าวไปทั่วโลก” โดยมีการ “ส่งสาร” ในโลกของโซเชียลมีเดีย และมีสื่อหลายประเทศให้ความสนใจและนำเสนอข่าวการประชุมอย่างครึกโครม เพื่อที่จะยืนยันถึงสถานะของขบวนการพูโลว่ายังคงอยู่ และยังมีการเคลื่อนไหวเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายในจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
ส่วนประเด็นที่ 3 การจัดประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในโรงแรมแห่งหนึ่งที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่เป็น “เพื่อนบ้าน” ของไทยเรา และในวันนี้รัฐบาลมาเลเซียยังมีสถานะในการเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” ในการ “พูดคุยสันติสุข” ระหว่าง “กลุ่มมาราปาตานี” ซึ่งเป็นตัวแทนของขบวนการแย่งแยกดินแดนหลายกลุ่ม กับตัวแทนของรัฐบาลไทยที่มี พล.อ.อักษรา เกิดผล เป็นหัวหน้าคณะ
 
ในความรู้สึกของคนไทย โดยเฉพาะคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อได้เห็นข่าวการประชุมของพูโล เห็นภาพที่ประชุมและแถลงข่าวในประเทศมาเลเซีย ย่อมที่จะเห็น “ผู้นำมาเลเซีย” เป็น “จำเลย” เพราะเป็นผู้สนับสนุนและโอบอุ้มขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทย เพื่อสร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นกับผู้คนและแผ่นดินปลายด้ามขวาน
 
เพราะวันนี้ทั้งพูโล ทั้งมาราปาตานี ทั้งบีอาร์เอ็นฯ ต่างอาศัยแผ่นดินมาเลเซียเป็น “ฐานที่มั่น” โดยได้รับการโอบอุ้มจากรัฐบาลมาเลเซียมาทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นการก่อการร้ายหรือการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนั้น มาเลเซียจึงเป็นประเทศที่ “มีส่วนได้ ส่วนเสีย” อย่างปฏิเสธไม่ได้
 
ยิ่งผู้ที่มีส่วนได้ ส่วนเสีย มาทำหน้าที่ในการอำนวยการพูดคุย ยิ่งเป็นเรื่องที่ “ไม่ชอบธรรม” และ “ไม่เป็นกลาง” อย่างแน่นอน
 
ดังนั้นเวทีการพูดคุยสันติสุขที่อยู่ระหว่างการ “สร้างความเข้าใจ” ของกลุ่มมาราปาตานีกับตัวแทนของรัฐบาลไทย จึงถูกมองว่าเป็น “ปาหี่” เป็นเรื่องการช่วยเหลือเหล่าขบวนการให้บรรลุเป้าหมาย มากกว่าที่จะช่วยประเทศไทยให้หลุดพ้นจากความรุนแรงของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
 
สำหรับบีอาร์เอ็นฯ ซึ่งหน่วยข่าวความมั่นคงยังเชื่อว่า “เป็นผู้บงการ” ในการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากมีข่าวจาก “ดาโต๊ะซัมซามิน” ตัวแทนของรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติสุข เคยรับปากว่าจะนำตัว “ดูลเลาะ แวมะนอ” เลขาธิการขบวนการบีอาร์เอ็นฯ เข้าร่วมโต๊ะพูดคุยสันติสุขตามที่ผู้นำของประเทศไทยต้องการ เพื่อให้การพูดคุยสันติสุขมี “ตัวแทน” ของ ทุกขบวนการ โดยเฉพาะ “ปีกทางทหาร” ของบีอาร์เอ็นฯ ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการพูดคุยและเป็นผู้บงการให้มีการก่อเหตุในพื้นที่นั้น
 
ความคืบหน้าล่าสุดคือ “การปฏิเสธ” จากดูลเลาะ แวมะนอ ด้วยการเดินทางออกจากประเทศมาเลเซียไปอาศัยอยู่ในประเทศอินโดนีเซียเป็นการชั่วคราว เพื่อ “รักษาหน้า” และหาทางออกให้กับดาโต๊ะซัมซามิน ตัวแทนของรัฐบาลมาเลเซีย อีกทั้งเพื่อจะให้ “ตัวแทน” เข้าร่วมประชุมแทน ทั้งนี่ที่จะไม่ต้อง “ตัดสินใจ” ในทุกเรื่องบนโต๊ะประชุม
 
นั่นหมายถึงการ “ซื้อเวลา” บนโต๊ะพูดคุย ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของ “ผู้กำกับการแสดง” นั่นก็คือผู้แทนของรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งไม่ว่าจะเป็น “ชาตินี้” หรือ “ชาติไหน” ก็จะไม่ยอมให้ “กฎหมาย” หรือ “อำนาจ” ในการจัดการกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้เป็นผลอย่างแน่นอน
 
และสาเหตุหนึ่งที่ผู้นำมาเลเซียเล่นบทโอบอุ้มขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เป็น “เสี้ยนหนาม” ตำเท้าของประเทศไทยคือ มาเลเซียเองก็อ่าน “หมากกล” ของฝ่ายไทยได้อย่างชัดเจนว่า ไทยเองก็ “ไม่มีความจริงใจ” ในการพูดคุยกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้
 
เพราะข้อเสนอของขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยรับไม่ได้ การเข้าสู่เวทีการพูดคุยสันติภาพครั้งนี้เป็นเพียงการ “ซื้อเวลาของฝ่ายไทย” เช่นกัน อีกทั้งเป็นการ “ยกระดับ”ของฝ่ายขบวนการ ซึ่งประเทศมาเลเซียมีความช่ำชองอยู่แล้ว ที่เห็นชัดและอ่านออกว่า
 
เรื่องการพูดคุยสันติสุขเป็นเรื่องการ “นอนเตียงเดียวกัน แต่ฝันคนละเรื่อง” เท่านั้นเอง
 
เพราะฉะนั้นมาเลเซียจึง “ไม่ยอมเปลืองตัว” ที่จะใช้กฎหมายและอำนาจในการจัดการกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนในไทย ซึ่งมาเลเซีย “ยังได้ประโยชน์” จากการดำรงอยู่ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในไทยทุกกลุ่ม
 
โดยหลักการซึ่งรัฐบาลอาจจะทำอยู่เงียบๆ หรือไม่ได้ทำเลยคือ การ “ยุติ” ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้ารัฐบาลมีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามาจากขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งมีขบวนการบีอาร์เอ็นฯ เป็น “แกนนำ” และขบวนการบีอาร์เอ็นฯ มีฐานที่มั่นใจประเทศมาเลเซีย
 
วิธีการที่ถูกต้องคือ “การเจรจากับรัฐบาลมาเลเซีย” เพื่อให้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะขบวนการที่อยู่ในมาเลเซียและมาเลเซียชุบเลี้ยงเป็นภัยต่อประเทศไทย หาใช่การที่รัฐบาลจะต้องไปพูดคุยทำความเข้าใจกับกลุ่มมาราปาตานี หรือกับดุลเลาะ แวมะนอ แต่อย่างใด เพราะที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ทำร้ายและเข่นฆ่าคนไทยในแผ่นดินปลายด้ามขวาน ซึ่งทำได้และอยู่ลอยนวลได้เนื่องจากมี “พี่เลี้ยง” คือมาเลเซียเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูนั่นเอง
 
แต่สุดท้ายแล้วเชื่อเถอะไม่มีรัฐบาลไทยรัฐบาลไหนที่กล้าจะพูดคุยเรื่องนี้กับผู้นำประเทศมาเลเซีย อย่าว่าแต่เรื่องคอขาดบาดตายอย่างนี้เลย แม้แต่เรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่เป็นเรื่องพื้นๆ วันนี้เรายังต้อง “พูดคุยใต้โต๊ะ” เพราะกลัวว่าการนำเรื่องเหล่านี้มา “พูดบนโต๊ะ” จะทำให้เสียบรรยากาศทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
 
เราเป็นประเทศที่มีมารยาท เรายอมรักษาบรรยากาศทางการเมือง โดยอาจจะยอมที่จะให้คนในแผ่นดินปลายด้ามขวานกลายเป็น “เหยื่อของสถานการณ์” ต่อไปและต่อไป เรายอมให้ประเทศมาเลเซีย “ขี่คอ” เราต่อไปจนกว่าจะเบื่อ และเรายอมให้มาเลซียได้ประโยชน์จากขบวนการแบ่งแยกดินแดนต่อไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่
 
ทั้งหมดคือ ความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ ณ ปลายด้ามขวาน ที่สุดท้ายแล้ววันนี้ยังมองไม่ออกว่าจะ “ยุติความรุนแรง” หรือจะเกิด “สันติสุข” อย่างที่ปรารถนาได้อย่างไร เพราะซัดตาไปทางไหนเห็นแต่ความ “ย้อนแย้ง” และ “เงื่อนงำ” รวมทั้ง “หมากกล” ที่ถูกซ่อนไว้ ทั้งฝ่ายเรา ฝ่ายโจรและฝ่ายมาเลเซีย
 
ถามว่าเราจะอยู่ใน “เขาวงกต” กับเรื่อง “ลับ ลวง พราง” แบบนี้อีกนานเท่าไหร่ จึงจะเห็นความจริงใจจากทุกฝ่ายในการเดินออกจาก “กับดัก” ที่มีคนบนแผ่นดินปลายด้ามขวานต้องตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์กันต่อไป

 


กำลังโหลดความคิดเห็น