xs
xsm
sm
md
lg

ใครเชื่อว่า “เพิ่มงบ-เพิ่มคน” นั่นคือหนทางดับไฟใต้..อ้าว! ยกมือขึ้นหน่อย / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
--------------------------------------------------------------------------------


 
สำหรับสถานการณ์การก่อการร้าย หรือการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ณ ห้วงเวลานี้มีเรื่องที่ควรแก่การสนใจอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน
 
เรื่องแรกคือ การที่หน่วยข่าวความมั่นคงมีการแจ้งเตือนว่า จะมีการก่อการร้ายจากฝีมือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือ “โจรใต้” ระหว่างวันที่ 1-15 สิงหาคม 2560 โดยหน่วยข่าวมีการตรวจพบว่า มีความเคลื่อนไหวเพื่อที่จะก่อเหตุในหลายๆ พื้นที่ด้วยกัน
 
มีการนำเอา “ปฏิทิน” ของปีที่ผ่านมามาเป็นตัวเทียบเคียง เพื่อให้เห็นว่า ในเดือนสิงหาคมของปีที่แล้วมีการก่อเหตุร้ายที่ค่อนข้างถี่ โดยมีการให้เหตุผลว่าเดือนสิงหาคมตามปีปฏิทินของไทย เป็นเดือนที่มี “วันสัญลักษณ์ ต่างๆ ทั้งของประเทศไทย และของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
 
ซึ่งมีการพบว่า โจรใต้จะใช้วันสัญลักษณ์เหล่านี้เป็นวันก่อเหตุ เพื่อที่จะเป็นการ “ตอกย้ำ ให้แก่ “มวลชน” ได้ย้อนอดีตที่เป็นได้ทั้งอดีตเจ็บปวด เจ็บช้ำ หรืออดีตแห่งความภาคภูมิใจ อันเป็นวิธีการหนึ่งของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ใช้ในการ “ปฏิบัติการทางการเมือง”
 
ดังนั้น ในระหว่างวันที่ 1-15 ของเดือนสิงหาคมนี้ จึงต้องจับตาว่าอาจจะเกิดความสูญเสียจากการปฏิบัติการของโจรใต้ก็เป็นได้ ซึ่งคนในพื้นที่ก็ต้องตื่นตัวในการรักษาชีวิต และทรัพย์สินของตนเอง โดยเฉพาะ “กลุ่มไทยพุทธ เพื่อให้รอดพ้นจากน้ำมือของโจรใต้ ซึ่งอาจจะมาในรูปลักษณ์ของนักศึกษา อุซตาส หรือประชาชนทั่วไปก็ได้ทั้งนั้น เพราะโจรที่นี่ไม่มีสัญลักษณ์ที่จะบอกให้รู้ว่า ใครเป็นโจร และใครที่ไม่ใช่โจร
 
แต่เชื่อเถอะโจรใต้ไม่มีใครโง่กว่าเจ้าหน้าที่หรอก เมื่อมีการแจ้งเตือนล่วงหน้า 15 วันนี้ไปแล้ว โจรก็จะไม่เปิดปฏิบัติการ เพราะในพื้นที่เจ้าหน้าที่ต้องตื่นตัวตามคำเตือนแน่นอน
 
อย่างเจ้าหน้าที่ที่จุดตรวจอาจจะเลิก “เล่นไลน์” หรือ “เล่นเฟซบุ๊ก” โดยหันมาตรวจผู้คน และยานพาหนะอย่างเข้มงวดตามคำสั่ง หรือหลายพื้นที่เจ้าหน้าที่อาจจะลาดตระเวนอย่างจริงจัง พร้อมเข้าตรวจสอบบ้านเรือน และบุคคลที่เป็น “เป้าหมาย ถี่ขึ้น ซึ่งทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่ทำจะอยู่ใน “สายตา” ของโจรทั้งหมด
 
เพราะวันนี้ “โจรใต้รุ่นเก่า” ถูกเปลี่ยนหน้าที่จากการ “วางระเบิด” และ “ฆ่าคน” ให้หันไปทำหน้าที่ “การข่าว และอื่นๆ รวมทั้งการทำตัวให้ “กลมกลืนกับสถานการณ์” ที่ฝ่ายเราเอาแต่โฆษณาว่า สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ส่วนกลุ่มที่ออกมาก่อเหตุในปัจจุบันจะเป็นพวก “หน้าขาวหรือ “โจรใต้รุ่นใหม่” ที่เพิ่งถูกนำเข้าสู่ขบวนการ และยังไม่มีประวัติในแฟ้มงานข่าว หรืองานสืบสวนของเจ้าหน้าที่
 
หลังวันที่ 15 สิงหาคมนั่นแหละที่โจรใต้จะเปิดปฏิบัติการ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าหน้าที่จะผ่อนคลายการเฝ้าระวัง เนื่องจากเลยวันที่ถูกแจ้งเตือนแล้ว
 
ดังนั้น ในช่วงก่อนที่จะถึงวันที่ 15 สิงหาคม เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะมีแค่การก่อเหตุแบบ “กระปริดกระปรอย โดยโจรใต้ต้องการเพียงก่อกวนที่โน่น ที่นี่ หรือที่นั่น เพื่อ “รักษาสถิติ” ของการก่อเหตุให้บางหน่วยงานได้จดสถิติของเหตุร้ายในแต่ละเดือนว่า มีเหตุระเบิดกี่ครั้ง ยิงกี่ครั้ง ผู้เสียหายเป็นหญิงกี่คน และเป็นชายกี่คน ฯลฯ
 
ส่วนเรื่องที่สอง คือ การที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แถลงข่าวเรื่องการ “ลดลงของเหตุร้าย” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบ 9 เดือนแรกของปีงบประมาณนี้แบบเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยเชื่อว่า การที่เหตุร้ายลดลงมาจากการที่หน่วยงานในพื้นที่มีการทำงานแบบ “บูรณาการ” กัน โดยเฉพาะภายองค์กรนำอย่าง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และงานด้านการพัฒนาตามนโยบาย “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
 
โดยในปีงบประมาณหน้าจะมีการทุ่มเทงบประมาณแก้ปัญหาไฟใต้อย่างจริงจังอีกเช่นเคย อย่างการติดตั้ง “กล้อง CCTV” ในพื้นที่เพิ่ม จำนวน 1,800 ตัว เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพราะกล้องที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ และจะมีการเพิ่ม “กองกำลังประชาชน” และ “กองกำลังประจำถิ่น” ให้มากขึ้น เพื่อเป็นกองกำลังแทนที่ทหาร
 
เมื่อข่าวนี้ถูกแถลงผ่านเรียวปากของเลขาธิการ สมช.ก็ต้องมีการ “รับฟังส่วนจะเชื่อได้หรือไม่นั้น คนในพื้นที่จะเป็นผู้ให้คำตอบว่า ณ วันนี้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นจริงหรือไม่ และหน่วยงานในพื้นที่มีการบูรณาการจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงแค่ “บูรณากู
 
รวมถึงการใช้เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อดับไฟใต้นั้น ทำได้จริงไหม อีกทั้งในเรื่องของ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง” แท้จริงแล้วใครได้ประโยชน์ และจะ “ยั่งยืน จริงหรือไม่
 
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พบว่า มีการ “ทุ่มงบประมาณเพิ่มขึ้นจำนวนมาก” ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง “การทหารหรือ “การพัฒนา อันจะยิ่งทำให้เกิดการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” หรือการคอร์รัปชันที่มากขึ้นตามมา
 
เหมือนที่ปรากฏมาแล้ว เช่น “โครงการทุจริตกล้อง CCTV ในโรงเรียน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้มีการตรวจพบไปแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการหาคนผิดมาลงโทษ เพราะกล้อง CCTV ที่ติดตั้งที่ส่วนใหญ่ไม่มีคุณภาพ “โครงการติดตั้งเสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์” หรือแม้แต่ “โครงการสร้างสนามฟุตซอล” ที่รอการตรวจสอบจาก ป.ป.ช.และ สตง.
 
รวมทั้งโครงการอีกมากมายที่ส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อสังเกตถึงการ “ค้ากำไรเกินงาม ของคนในหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่
 
แต่ที่ควรต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ “โครงการเช่ากล้อง CCTV” ที่อยู่ในแผนรักษาความปลอดภัยในปีงบประมาณหน้า ก็เป็นอีกโครงการที่คนในพื้นที่ต้องช่วยกันจับตามอง เพื่ออย่าให้ “ซ้ำรอย กับโครงการต่างๆ ที่อ้างถึงประโยชน์ของประชาชน แต่สุดท้ายกลายเป็นผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ
 
รวมทั้ง “กองกำลังประจำถิ่น” และ “กองกำลังประชาชน” ซึ่งจะมาแทนที่ “กองกำลังทหาร” ซึ่งจะมีการเพิ่มชุดคุ้มครองตำบลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 60 ชุด ซึ่งเป็นกำลังของ “อาสารักษาดินแดน” อันเป็นกำลังที่ขึ้นต่อฝ่ายปกครอง ส่วนกำลังประชาชนคือ ชรบ.และอื่นๆ ซึ่งมีอยู่ในทุกหมู่บ้านและทุกพื้นที่
 
การเพิ่มขึ้นของทั้ง 2 กองกำกำลังดังกล่าวถือเป็นโครงการที่ดี เป็นการสร้างกองกำลังท้องถิ่นและกองกำลังพื้นที่เพื่อรักษาความปลอดภัยในระดับตำบล และหมู่บ้าน แต่ในสิ่งที่เห็นว่า “ดี” ก็อาจจะ “มีปัญหาแอบแฝง” อยู่จำนวนไม่น้อยก็เป็นได้
 
เช่นวันนี้ “กองกำลัง ชรบ.” หรือ “ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน” ก็กลายเป็น “ชุดรักษาความปลอดภัยผู้ใหญ่บ้าน” ไปเสียแล้ว รวมถึง “ชุด ชคต.” หรือ “ชุดคุ้มครองตำบล” ก็กลายเป็น “ชุดคุ้มครองกำนัน” ไปอีกเช่นกัน เพราะที่ตั้งอยู่ที่บ้านของกำนัน จนกลายเป็นการสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่กำนัน และผู้ใหญ่บ้านไปเสียฉิบ อันผิดไปจากรูปแบบที่ต้องการสมัยเมื่อก่อตั้งขึ้นมา
 
วันนี้สิ่งที่หน่วยงานรับผิดชอบควรทำก่อนที่จะเดินหน้าโครงการต่างๆ เหล่านี้คือ “การตรวจสอบประสิทธิภาพ” ของ ชคต.และ ชรบ.ว่าที่ดำเนินการมาทั้งหมดนั้น สามารถ “ตอบโจทย์ การแก้ปัญหาความไม่สงบได้จริงหรือไม่ และหลังจากมีทั้ง ชคต.และ ชรบ.แล้วในพื้นที่มีการก่อเหตุน้อยลงจนสามารถลดกองกำลังทหารได้จริงหรือไม่ รวมทั้งมีการใช้กองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ไปใช้ “ประโยชน์ส่วนตน” หรือ “ประโยชน์พวกพ้อง” ของใครหรือไม่
 
เพราะที่ผ่านมา 13 ปีของการเกิดไฟใต้ระลอกใหม่ สิ่งที่เห็นชัดเจน คือ “จำนวนงบประมาณที่มากขึ้น” ซึ่งนั่นก็คือ “จำนวนของการทุจริต” ที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย
 
นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้อมูลว่า “จำนวนเจ้าหน้าที่” ที่มากขึ้น ไม่ได้ทำให้ “จำนวนเหตุร้ายลดลง” ตรงนี้ต่างหากที่จะต้องมีการแก้ไข ซึ่งในส่วนของประชาชนในพื้นที่ก็จะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มข้นต่อไป
 
เพราะนี่คือ สาเหตุสำคัญที่อาจจะเป็นเหตุให้ “ไฟใต้ไม่มอบดับ” นั่นเอง
 
กำลังโหลดความคิดเห็น