xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) มีชิ้นเดียวในโลก! HEARTIST แบรนด์กระเป๋าคล้องมือ ส่งเสริม “ผ้าทอเด็กออทิสติก” สร้างรายได้ ลดรายจ่ายกิจกรรมบำบัดพัฒนาการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์





จากการที่เป็นกลุ่มอาสาในการดูแลกลุ่มเด็กพิการทางสมอง หรือ กลุ่มเด็กพิเศษที่มีอาการพิการทางสมองอย่าง ออทิสติก ดาวน์ซินโดรม และแอสเพอร์เกอร์ซินโดรมนั้น ทำให้เห็นพัฒนาการและความสามารถของกลุ่มเด็กเหล่านี้ที่ยังจำเป็นต้องมีกิจกรรมที่พัฒนาทักษะอยู่เป็นประจำ ซึ่งผ้าทอที่ทำนั้นเป็นการทำเพื่อเพิ่มพัฒนาการให้แก่เด็ก ไม่ได้นำไปขายแต่จะเก็บเอาไว้ และกิจกรรมบำบัดพัฒนาการนั้นจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายและอุปกรณ์ที่จำเป็น HEARTIST จึงเกิดเป็นแบรนด์ที่นำผ้าทอเหล่านี้มาผลิตเป็นกระเป๋าคล้องมือสไตล์ญี่ปุ่นที่แต่ละใบจะมีเพียงชิ้นเดียวในโลก

นางสาววริศรุตา ไม้สังข์ เจ้าของแบรนกระเป๋าแฮนด์เมด HEARTIST
นางสาววริศรุตา ไม้สังข์ เจ้าของแบรนกระเป๋าแฮนด์เมด HEARTIST เล่าว่า จุดเริ่มต้นการสร้างแบรนด์นั้นเริ่มต้นจากการที่ในช่วงแรกเกิดจากการเป็นอาสาสมัครจากกลุ่มแม่ที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษหรือออทิสติก มารวมตัวกันและใช้การทอผ้า ซึ่งตนเป็นหนึ่งในอาสาสมัครทอผ้าและได้ใช้เวลากับเด็กพิเศษในการทอผ้าประมาณ 4-6 เดือน ทำให้ตนรู้สึกว่าผ้าที่ทอออกมาแล้วนั้นสวยงาม หลังจากนั้นตนจึงได้ถามกับกลุ่มแม่ดังกล่าวว่าผ้าที่ทอเสร็จแล้วนั้นนำไปทำอะไร กลุ่มแม่ให้คำตอบว่าเก็บเข้าตู้หรือนำออกมาประมูลในช่วงสิ้นปี โดยครอบครัวที่มีทุนก็จะช่วยเหลือครอบครัวที่มีทุนน้อย ซึ่งในช่วงเวลาที่เด็กพิเศษเหล่านี้ได้ใช้เวลาในการทอผ้านั้นทำให้เกิดพัฒนาการและทักษะที่ดีขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้แก่เด็กเหล่านี้


ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้ผ้าทอที่ทำจากฝีมือกลุ่มเด็กพิเศษที่มีความสามารถเหล่านี้ออกสู่สายตาคนอื่นได้มากยิ่งขึ้น ทำให้เจ้าของแบรนด์จึงได้แนวคิดที่จะต่อยอดและสานต่อความสามารถของกลุ่มเด็กเหล่านี้ให้สามารถสร้างการรับรู้กับคนในสังคมและสร้างรายได้ให้กับเด็ก โดยการที่นำผ้าเหล่านั้นมาแปรรูปเป็นสิ่งของที่สามารถใช้ได้จริง จึงเป็นที่มาของแบรนด์ HEARTIST ปัจจุบันดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณ 3 ปี


นอกจากนี้สินค้าของทางแบรนด์นั้นจะมีทั้งกระเป๋า พวงกุญแจ เสื้อ ของตกแต่งบ้าน หมอน แต่หลักๆ แล้วจะเป็นกระเป๋าแฮนด์เมดที่มีผ้าทอจากเด็กพิเศษรวมอยู่ด้วยทุกชิ้น ซึ่งที่เป็นซิกเนเจอร์ของทางแบรนด์จะเป็นกระเป๋าคล้องมือสไตล์ญี่ปุ่น โดยจะไม่มีการกำหนดลวดลาย สีสันและขนาด รวมถึงเป็นกระเป๋าที่ส่วนใหญ่ผ้าทอสามารถนำมาผลิตได้


ทั้งนี้จุดเด่นและความพิเศษของตัวกระเป๋าผ้าทอนั้น หลักๆ คือจะเป็นกระเป๋าผ้าที่มีชิ้นเดียวในโลก กล่าวคือผ้าทอในแต่ละผืนที่นำมาผลิตเป็นส่วนประกอบของกระเป๋าจะมีความแตกต่างๆ อาจจะมีปุ่มทอที่ไม่เรียบ หรือมีรูที่เกิดจากการทอ เพราะฉะนั้นการดีไซน์ผ้าทอแต่ละผืนจะมีความพิเศษและแตกต่างกัน รวมถึงวัตถุดิบที่นอกจากผ้าทอแล้วนั้นยังมีราคาที่สูง เพราะตัวผ้าทอเองก็มีราคาสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ลดต้นทุนด้วยการนำวัตถุดิบที่มีราคาต่ำลงมา เนื่องจากทางแบรนด์ต้องการให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและใช้งานได้จริงอย่างคุ้มค่าที่สุด


สำหรับการออกแบบกระเป๋าในลักษณะของการใช้งานแบบคล้องมือนั้น เจ้าของแบรนด์ได้แรงบันดาลใจมากจากการที่ตนเองเคยโดนล้วงกระเป๋าแล้วตนรู้สึกต้องการกระเป๋าที่ไม่สามารถให้คนอื่นล้วงได้ รวมถึงเป็นทรงที่แม่บ้านญี่ปุ่นใช้คล้องมือไปทำธุระต่างๆ ได้ ตนจึงนำแนวคิดนี้มาปรับและเปลี่ยนให้ได้ขนาดที่เหมาะสม มีช่องสำหรับเก็บของต่างๆ และสามารถใช้งานได้จริง ภายนอกดูเรียบง่ายแต่ข้างในสามารถเก็บของได้หลายอย่าง และหลังจากที่ตนได้ทดลองใช้งานกระเป๋าแล้วนั้นก็ไม่เคยโดนล้วงกระเป๋าอีกเลย และสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือการออกแบบผ้าทอของเด็กพิเศษให้อยู่บริเวณหูจับกระเป๋า ซึ่งผ้าแต่ละผืนนั้นจะมีความแข็งแรงไม่เท่ากัน เมื่ออยู่บนหูจับแล้วนั้นจะไม่ได้รับแรงจากน้ำหนักของที่อยู่ในกระเป๋าและเป็นจุดที่คนมองเห็นได้ง่าย โดยจะมีคอนเส็ปต์คือ “น้อยได้มาก”


นอกจากนี้การตัดเย็บกระเป๋านั้นในส่วนของหูจับจะมีความยาวไม่เท่ากัน เนื่องจากต้องการให้เป็นดีไซน์เฉพาะสำหรับคล้องมือ เมื่อคล้องกับมือแล้วคนอื่นจะไม่สามารถล้วงเข้ามาได้ แต่หูจับทั้งสองข้างจะสามารถแยกออกจากกันได้เหมือนกระเป๋าหรือถุงพลาสติกทั่วไป แตกต่างตรงความยาวของหูจับเท่านั้นเอง ทำให้ในตอนนี้ทางแบรนด์ได้เจาะกลุ่มลูกค้าวัยทำงานโดยมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป รวมถึงขนาดของกระเป๋าคล้องมือนั้นจะมีขนาด 12x16 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 890 บาท


ทั้งนี้กลยุทธ์ในการทำการตลาดของทางร้านนั้นจะเน้นการทำคอนเทนต์เป็นหลักและไม่เน้นความน่าสงสาร ซึ่งมีจุดยืนตั้งแต่วันแรกที่เริ่มสร้างแบรนด์ว่าสินค้าที่ทางแบรนด์มีนั้นมีคุณค่าอย่างไร สร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มลูกค้าในเชิงให้ความรู้ สินค้ามาจากศิลปิน เพราะฉะนั้นทางแบรนด์จึงทำการตลาดตั้งแต่แรกโดยการโปรโมทรูปสินค้าให้ออกมาสวยงาม รวมถึงทางแบรนด์ไม่เคยทำโปรโมชั่นลดราคาสินค้า เนื่องจากต้องการให้ลูกค้ากลุ่มแรกๆ ที่สนับสนุนสินค้าได้รับความยุติธรรม โดยทางแบรนด์จะออกคอลเล็กชั่นใหม่ๆ ให้มีราคาที่สูงขึ้นและมีคุณภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น


“สำหรับกลุ่มเด็กพิเศษจะมีเด็กที่มีอาการพิการทางสมอง เช่น ออทิสติก ดาวน์ซินโดรม และแอสเพอร์เกอร์ซินโดรมนั้น ประมาณ 30 คน อายุตั้งแต่ 12-18 ปี จะรับหน้าที่ในการทอผ้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปในประเทศไทยนั้น กิจกรรมสำหรับเด็กพิเศษมีค่อนข้างน้อยและราคาสูง โดยเราไม่ได้จ้างให้เขาทอ แต่เราไปลดค่าใช้จ่ายในการบำบัดของเขาลง เช่น ชั่วโมงละ 900 หรือ 1,500 บาท ซึ่งเขาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย เราเป็นคนจัดหาให้หมดทั้งเรื่องอุปกรณ์ต่างๆ และเรารับซื้อทุกผืนเพิ่มรายได้ให้เขาได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นก็สามารถการันตีได้แล้วว่า เขาสามารถมีกิจกรรมการบำบัดที่มีรายได้จากการทอผ้าแทนที่จะเสียเงินจากการเข้ากิจกรรมที่มีค่าใช้จ่าย”


ปัจจุบันทางแบรนด์ไม่รับพรีออเดอร์สินค้าแต่จะออกเป็นคอลเล็กชั่นให้ลูกค้าได้เลือกเองมากกว่า ซึ่งในการผลิตนั้นในส่วนของผ้าทอ กลุ่มเด็กพิเศษจะสามารถผลิตในเวลา 1 เดือนจะได้ 1 ผืน และเมื่อได้ผ้าจากกลุ่มเด็กพิเศษแล้วนั้น ทางแบรนด์จะใช้เวลาในการผลิตเป็นกระเป๋าประมาณ 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากก่อนที่ทางแบรนด์จะสร้างเป็นแบรนด์กระเป๋าขึ้นมานั้นทางครอบครัวหรือกลุ่มแม่ของเด็กเหล่านี้ก็เก็บผ้าที่ถูกทอไว้มาก่อนแล้ว จึงมีผ้าทอที่สต็อคไว้เพียงพอสำหรับการผลิตกระเป๋าและสินค้าอื่นๆ


หลังจากที่ทางแบรนด์ได้สนับสนุนผ้าทอจากกลุ่มเด็กพิเศษและได้ช่วยเหลือในเรื่องสร้างรายได้และลดรายจ่ายการเข้ากิจกรรมบำบัดต่างๆ แล้วนั้น ทำให้กลุ่มเด็กพิเศษสามารถมีพัฒนาการที่ดีขึ้น กลุ่มแม่และผู้ปกครองมีความสุขที่ได้เห็นลูกตนเองมีกิจกรรมที่ดีและสร้างสรรค์ที่สามารถพัฒนาศักยภาพและเพิ่มพัฒนาการให้ลูกของตนได้


ทั้งนี้ผลตอบรับจากลูกค้าในตอนนี้เรียกว่าดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะลูกค้าเข้าใจสารที่ทางแบรนด์สื่อสารออกไป โดยกระเป๋าแต่ละใบจะมีตำหนิที่แตกต่างกัน และทางแบรนด์ก็ได้สื่อสารออกไปว่าในตำหนินั้นไม่ใช่ความผิดพลาดแต่เป็นความพิเศษที่กระเป๋าแต่ละใบมี ทำให้ลูกค้าเข้าใจและรับได้ นอกจากนี้ทางแบรนด์มีหน้าร้านที่ ICON SIAM , SIAM CENTER แต่ถูกปิดร้านลงชั่วคราว ในตอนนี่เหลือเพียงขายผ่านช่องทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว โดยจะผ่านเพจเฟซบุ๊ค อินสตาแกรมและเว็บไซต์เป็นหลัก ซึ่งในช่วงก่อนโควิด-19 จะระบาดนั้นทางแบรนด์สามารถสร้างยอดขายได้เดือนละ 30-50 ใบ แต่พอมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็เริ่มซบเซา โดนผลกระทบค่อนข้างมาก


“นอกจากจะโดนผลกระทบทางหน้าร้านแล้วนั้นทางแบรนด์ยังโดนผลกระทบจากหลังบ้านอีกด้วย กล่าวคือ ทางแบรนด์เองได้มีการทำวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการของกลุ่มเด็กพิเศษซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา 2 ปี พอมีโควิด-19 เข้ามาก็ไม่สามารถเข้าไปทำงานวิจัยต่อได้ซึ่งเวลาหายไป 1-2 ปี เมื่อเกิดความไม่ต่อเนื่องก็ต้องเริ่มทำใหม่หมด ทำให้ผลกระทบที่ได้นอกจากยอดเงินที่หายไปยังมีงานวิจัยพัฒนาการของกลุ่มเด็กที่หายไปอีกด้วย”


อย่างไรก็ตามในอนาคตทางแบรนด์ได้มีการวางแผนต่อยอดธุรกิจให้ไปในทิศทางของการจับคู่ธุรกิจกับแบรนด์อื่นๆ พัฒนาสินค้าเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยมีความต้องการที่จะเป็นผู้ขายวัตถุดิบ รวมถึงแตกไลน์การผลิตให้มีหลากหลายฟังก์ชั่นการใช้งานและหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า โดยแผนงานเหล่านี้กำลังเริ่มต้นขึ้นและจะได้เห็นอย่างแน่ชัดในช่วงปลายปีที่กำลังจะมาถึง

ติดต่อเพิ่มเติม

Facebook : HEARTISTdid
Instagram : heartistdid
Website : www.heartistdid.com


















* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *



กำลังโหลดความคิดเห็น