บล็อกเชนเกาหลีใต้ฝันไกลไปให้สุด

แม้แบงก์ชาติเกาหลีใต้ไม่เห็นด้วยเรื่องการออกคริปโตแห่งชาติ แต่สำหรับอุตสาหกรรมบล็อกเชนนั้น รัฐบาลแดนกิมจิยินดีสนับสนุนเต็มพิกัด ขณะที่ภาคเอกชนขานรับนโยบายเกินร้อย

“บล็อกเชน” กลายเป็นคำพูดติดปากของคนเกาหลีใต้ซึ่งส่วนใหญ่ได้ยินมาจากสื่อท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปลายปี 2017 ที่เกิดกระแสคริปโตและบิตคอยน์ฟีเวอร์

ในภาวะที่คนธรรมดาพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเป็นเนื้อเป็นหนังจากเงินออม ขณะที่อัตราว่างงานในประชากรกลุ่ม Millennial (คนที่เกิดระหว่างปี 1980-1999) เพิ่มขึ้นผิดปกติ ผู้คนจึงหันไปหาสกุลเงินดิจิตอลหรือคริปโตเคอร์เรนซีเพราะหวังรวยทางลัด หลังได้ยินข่าวหนาหูเรื่องที่คนมากมายฟันกำไรก้อนโตจากการลงทุนในบิตคอยน์และอีเทอเรียม แต่ปรากฏการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้นคือจุดเริ่มต้นของภาวะหมีในตลาดคริปโตทั่วโลกที่ยังคงอยู่จนถึงบัดนี้

นอกจากนั้นแม้แบงก์ชาติไม่เห็นด้วยกับการออกสกุลเงินดิจิตอลของธนาคารกลาง (ซีบีดีซี) เนื่องจากผลการศึกษาพบว่า จะทำให้มีการถอนเงินจำนวนมากออกจากสถาบันเอกชน ส่งผลให้สภาพคล่องตึงตัวและดันอัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้น แต่สำหรับบล็อกเชนซึ่งเป็นเทคโนโลยีรองรับคริปโตนั้นดูแววยังไปได้อีกไกล

เกาหลีใต้ได้กำหนดทิศทางเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้อย่างรีบเร่งและกลายเป็นจุดสนใจของทั่วภูมิภาค ทางการโซลยังคงสนับสนุนการพัฒนาบล็อกเชนอย่างต่อเนื่องอันเป็นส่วนหนึ่งของการแสวงหาพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ๆ ตลอดเวลาเพื่อรักษาศักยภาพการแข่งขันของประเทศ

ไม่นานมานี้ โคเรีย อิโคโนมิก รีวิวรายงานว่า รัฐบาลเกาหลีใต้จัดสรรงบประมาณ 35 ล้านดอลลาร์สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่อิงกับบล็อกเชนภายในปีนี้ ขณะที่เกาะเจจูทางใต้ของประเทศใฝ่ฝันดันตัวเองเป็น “มอลตาแห่งเอเชีย” โดยโคเรีย จุงอัง เดลี่รายงานว่า รัฐบาลเกาะเจจูต้องการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อส่งเสริมโครงการบล็อกเชนและคริปโตด้วยมาตรการผ่อนคลายกฎระเบียบที่ชัดเจน

แผนการนี้มีแนวโน้มดึงดูดคนเก่งจากต่างแดนหลั่งไหลสู่เกาหลีใต้ ควบคู่กับการรักษาบุคลากรหัวกะทิไม่ให้หนีออกไปหางานทำนอกประเทศ

ส่วนหนึ่งของข้อเสนอของเกาะเจจูจะอนุญาตการเสนอขายเหรียญเพื่อระดมทุนครั้งแรก (ICO) และการเสนอขายโทเคนที่มีลักษณะคล้ายหลักทรัพย์ (STO) ในอนาคต คนวงในอุตสาหกรรมบล็อกเชนมากมายทำนายว่า ภาวะกระทิงในตลาดคริปโตจะถูกกระตุ้นจากการที่นักลงทุนประเภทสถาบันเทเงินทุนเข้าสู่โทเคนที่คล้ายหลักทรัพย์

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจที่สุดในแวดวงบล็อกเชนเกาหลีใต้คือการพัฒนาโปรโตคอลที่เรียกว่า แพล็ตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ

ขณะเดียวกัน ผู้เล่นแถวหน้าที่กำลังคร่ำเคร่งกับโปรเจ็กต์บล็อกเชนในเกาหลีใต้มีอาทิ ไอคอน จากการสนับสนุนของเดย์ลี ไฟแนนเชียล กรุ๊ป และบริการที่ปรึกษาของดอน แท็ปสก็อตต์ ที่มีแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด สองบริษัทนี้ยังร่วมเป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ บริษัทประกันภัย และโรงพยาบาลในประเทศ เพื่อรวมข้อมูลไว้ในเมนเน็ตของบล็อกเชน

บล็อกโคเป็นสตาร์ทอัพที่โฟกัสการนำเสนอบริการบล็อกเชนสำหรับภาคธุรกิจเพื่อการระบุเอกลักษณ์และการชำระเงินระบบดิจิตอลด้วยโซลูชันซอฟต์แวร์ “คอยน์สแต็ก” บริษัทแห่งนี้เพิ่งได้เม็ดเงินจากการระดมทุนรอบซีรี่ส์เอและบีจากกลุ่มกิจการใหญ่ของประเทศ เช่น ซัมซุง เวนเจอร์ อินเวสต์เมนต์ และพอสโก

กาเกา ทอล์ก บริษัทที่อยู่เบื้องหลังแอปรับส่งข้อความที่มีผู้ใช้กว้างขวางในเกาหลีใต้ กำลังพัฒนาแพล็ตฟอร์มของตัวเองเช่นเดียวกันในชื่อ Klaytn ผ่านบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจนี้ชื่อว่า กราวด์ เอ็กซ์

ไซมอน คิม หุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง #Hashed กองทุนคริปโตใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ทำนายว่า เกมจะเปลี่ยนทันทีที่กาเกาเริ่มนำเสนอคริปโตและกระเป๋าเงินดิจิตอลให้คนเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ผ่านทางสมาร์ทโฟน

ในส่วนเว็บเทรดคริปโตนั้น บิตธัมบ์และอัพบิตถือเป็นเบอร์ต้นๆ ในแง่ปริมาณการเทรดและจำนวนผู้ใช้ประจำวัน

อัพบิตใช้กาเกา ทอล์ก ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ สร้างแบรนด์เนมที่แข็งแกร่งให้กับบริการที่ปลอดภัยและข้อเสนอคริปโตที่หลากหลาย นอกจากนั้นยูสเซอร์อินเทอร์เฟซยังใช้งานง่ายดาย

เว็บเทรดคริปโตระดับรองลงมา ได้แก่ คอร์บิต, คอยน์วัน และโกแพ็กซ์ ซึ่งแม้มีปริมาณการซื้อขายน้อยกว่ามาก แต่มีจุดแข็งที่ความปลอดภัยและบริการวิเคราะห์

นอกจากนั้นยังมีผู้เล่นรายใหญ่จากต่างแดนมาร่วมแจมด้วย เช่น หัวปี้และ BTCC จากจีน

เกาหลีใต้ยังเป็นสถานที่จัดประชุมระหว่างประเทศเกี่ยวกับบล็อกเชนเกือบทุกเดือนตลอดปี 2017 ขณะที่การประชุมภายในประเทศจัดชุกกว่าคือแทบทุกสัปดาห์และเกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์การทำ ICO ของริปเปิล, EOC, NEO, บิตคอยน์ แคช และอีกมากมาย และจนถึงวันนี้แดนกิมจิยังคงเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมบล็อกเชนอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อเร็วๆ นี้ ฟินเทค สิงคโปร์รายงานว่า มีบล็อกเชน คาเฟ่ใหม่เปิดตัวในกรุงโซล และแม้นักลงทุนรายย่อยไม่ค่อยตื่นเต้นแล้ว แต่บริษัทบล็อกเชนในเกาหลีใต้ยังคงว่าจ้างและสามารถดึงดูดเงินทุนจากกองทุนร่วมลงทุน (venture capital fund) ถึงจะน้อยกว่ายุครุ่งเรืองเมื่อสองปีที่แล้วก็ตาม