หลังจากที่ “เชฟตุ๋ย เรนเจอร์” ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ ให้กับ บาร์บีคิวซี่โครงหมูย่างที่ใหญ่ที่สุด ที่หลายคนรู้จักกันในชื่อของ ซี่โครงเมตร ในทำเล และราคาตลาดนัด ทำให้ซี่โครงหมูย่างบาร์บีคิว เมนูสเต็กเฮ้าส์ในร้านหรู ได้มาแจ้งเกิดในตลาดนัดครั้งแรกอย่างเต็มตัว
ด้วยเหตุนี้เอง เป็นตัวจุดประกาย ให้หนุ่มนักเรียนนอกเมื่อเขาเดินทางกลับมาประเทศไทย และต้องการจะมีกิจการเล็ก ที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก จึงขอแจ้ง บาร์บีคิวซี่โครงหมูย่าง บนรถฟู้ดทรัค ของ 2 พี่น้อง ตระกูล “วิชัยดิษฐ์” คนพี่ “นายวีระยุทธ” และ น้องชาย “นาย วีรภัทร” เจ้าของร้าน ซี่โครงหมาร้องไห้
“วีระยุทธ” เล่าว่า ตนเองและน้องชาย ได้เปิดร้าน Holy Smokey หรือซี่โครงหมาร้องไห้ มาได้เกือบ 1 ปี เริ่มต้นจากกิจการเล็ก บนรถฟู้ดทรัค ด้วยเงินทุนประมาณ 2 แสนบาท รวมราคารถโมบาย และอุปกรณ์ต่างๆ และที่เลือกขาย ซี่โครงหมูบาร์บีคิว เพราะโดยส่วนตัวตนเองเป็นคนชอบเมนูนี้มาก ทั้งสองคน เคยทำกินกันเอง และรู้สึกว่าชื่นชอบ จนวันหนึ่ง“น้องชาย วีรภัทร” อยากกลับบ้าน และถ้าอย่างนั้น เรากลับมาเมืองไทย มาขายซี่โครงหมู บาร์บีคิวกัน
“ตอนนั้น คิดแค่ว่าอยากกลับบ้าน และ ทำกิจการเล็กๆ เนื่องจากเราไม่มีทุนมากนัก แต่ปัญหา คือ เราไม่รู้จักเมืองไทยดีพอ ทำให้ผิดพลาดตั้งแต่ก้าวแรกเริ่มทำตลาด คือ เราคิดว่า ของเราอร่อย และดี ขายที่ไหนก็ขายได้ เราเลยเปิดขายตลาดนัดแถวบ้าน ย่านเกษตรนวมินทร์ เป็นตลาดนัดที่แม่บ้านซื้อกับข้าวกัน ปรากฏว่า ไม่ใช่ตลาดของเราเลย ทุกคนมองเราสอง คน ว่า มาทำอะไรกัน ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก ขายได้แค่ 300 บาท แต่เราก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่คิดว่า คิดว่าตลาดตัดแห่งนี้ คนคงไม่ชอบ ถ้าอย่างนั้นไปหาตลาดนัดแห่งใหม่ ซึ่งก็เจอปัญหาเดียวกัน ครั้งนี้ เรารู้แล้วว่า เราวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าผิดพลาด” วีระยุทธ์กล่าว
หลังจากนั้น ทั้งสองคนเริ่มมองว่า เขาไม่รู้จักประเทศไทยพอ ดังนั้น คงต้องหาที่ปรึกษา จนเขาได้มาเจอกับ เจ้าของ รีสอร์ต ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งก็เป็นคนรู้จัก ชวนให้มาลองขายที่รีสอร์ต ซึ่งตรงจุดนี้ เขาทั้งสองคนได้ลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย คือ ขายนักท่องเที่ยว แต่ปัญหาไม่ได้จบแค่นี้ เพราะเขาขายได้เฉพาะช่วงที่มีนักท่องเที่ยว พอหมดฤดูท่องเที่ยวก็ขายไม่ดี แต่ก็ไม่ย่อท้อ เขาตั้งใจว่า จะตะเวนไปขายตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่ปัญหา คือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากค่าน้ำมัน ในการเดินทาง ค่าที่พัก พอหักค่าใช้จ่ายต่างๆรายได้ไม่คุ้มกับค่าเหนื่อย ทำให้เขาต้องหาทำเลใหม่ ซึ่งเป็นความโชคดีที่ขายบนรถ สามารถเปลี่ยนที่ขายไปตรงไหนก็ได้
สุดท้าย มาลงตัวตรงตลาดนัดกลางคืน แหล่งชอปปิ้ง ยามค่ำคื่น ซึ่งตรงจุดนี้เอง เป็นความลงตัว ทั้งวันเวลาขาย กลุ่มลูกค้า กลางคืน เหมาะกับเมนูบาร์บีคิวย่าง โดยเปิดขายวันแรก ประสบความสำเร็จ มียอดขายเป็นไปตามเป้า (วันแรกขายได้ 6-7 พันบาท) ซึ่งตลาดนัดกลางคืนที่ทั้งสองหนุ่มไปปักหลักขาย คือ ที่ ตลาดนัดมะลิ เลียบทางด่วนเมืองทองธานี นับจากวันที่เริ่มขายจนถึงวันนี้ ผ่านมาประมาณ 9 เดือน
คุณวีระยุทธ บอกว่า การเลือกทำเล กับสินค้าที่เราขาย นั้นเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ เราไม่ได้อยู่เมืองไทยนาน พอกลับมา คิดเพียงแค่ว่า ของเราดี อร่อย ขายที่ไหนก็น่าจะขายได้ แต่ไม่ใช่สำหรับตลาดเมืองไทย ซึ่งเป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้และหาประสบการณ์เอาเอง ตำรา หรือนักการตลาดที่ว่า เก่ง หรือสุดยอดแค่ไหนบางครั้งก็อาจจะไม่ได้บอกหรือ รอบรู้ทุกเรื่องได้ ครั้งนี้ ทำให้เรารู้ว่า ประสบการณ์ มาจากการทดลองด้วยตัวเองดีที่สุด
"ถ้าถามว่า วันนี้ประสบความสำเร็จหรือ ยัง ตอบได้เลยว่า ประสบความสำเร็จในระดับที่เราทั้งสองคนพี่น้องพอใจ เพราะวันแรกที่เริ่มขายที่ตลาดนัดกลางคืนแห่งนี้ มียอดขายในระดับที่เราพอใจ ที่สำคัญ ไม่มีคู่แข่งที่ขายเมนูเหมือนกันในตลาดนี้ เราเป็นรายแรกของตลาดแห่งนี้ ที่ขายซี่โครงหมูย่าง บาร์บีคิว"
สำหรับราคา มีด้วยกัน 3 ไซต์ ถาดเล็ก 119 บาท ซี่โครง 4 ซี่ ถาดกลาง 219 บาท ซี่โครง 8 ซี่ และ ถาดใหญ่ 309 บาท ซี่โครง 12 ชิ้น ซึ่งการเสิร์ฟซี่โครงหมูย่างบาร์บีคิว จัดเสิร์ฟ พร้อมกับ น้ำจิ้ม โดยได้ปรับสูตรน้ำจิ้มให้เข้ากับคนไทย ที่เป็นสูตรเฉพาะของเรา เป็นการผสมระหว่างสูตรน้ำจิ้มแจ่ว กับ สูตรชีสที่เป็นต้นตำรับจากเมืองนอก ส่วนผักดองถือว่าเป็นไฮไลท์ของเราเช่นกัน เลือกผักกะหล่ำม่วง และแอปเปิ้ล มาทำเป็นผักดอง ซึ่งชุดข้างเคียง ประกอบด้วยผักดอง และเฟรนฟรายด์ คิดเพิ่มชุดละ 30 บาท นอกจาก ซี่โครงหมูบาร์บีคิว ทางร้านมีเมนูอื่นๆ เช่น ซีซ่าสลัด คอหมูย่าง และปีกไก่ บอนชอน
พอถามถึงรายได้ “คุณวีระยุทธ” บอกว่า ถ้าเป็นวันธรรมดา ขายได้วันละ 4,000 -5,000 บาท แต่ถ้าวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ หรือ วันหยุด จะได้ประมาณ 7,000-10,000 บาท รายได้ต่อเดือนหลักแสนบาท โดยในแต่ละวันจะใช้ซี่โครง ตั้งแต่ 15 กิโลกรัม ถึง 30 กิโลกรัม
สำหรับการทำซี่โครงหมูบาร์บีคิว ของร้านซี่โครงหมาร้องไห้ นั้น คุณวีระยุทธ บอกว่า ได้สูตรมาจากตนเองชอบกิน ตอนอาศัยอยู่ต่างประเทศ ได้ไปกินหลายที และลองกลับมาทำกินเองบ้าง และประกอบกับ ตอนทำงานเมืองนอก เคยทำงานเป็นเชฟอาหารไทยในโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่ประเทศเนเธอแลนด์ ซึ่งก็ได้เรียนรู้การทำบาร์บีคิวจากเชฟที่โรงแรมมาบ้าง สุดท้ายก็นำมาปรับให้ได้สูตรบาร์บีคิวที่ถูกปากคนไทย ก่อนทำขายมีการทำกินกันในครอบครัว ทุกคนชื่นชอบ
ส่วนที่มาของชื่อ ซี่โครงหมาร้องไห้ เกิดขึ้นมาจาก ทุกครั้งที่ทำบาร์บิคิว ซี่โครงหมูย่าง กินกันในครอบครัว ก็จะโดนคุณย่า แซวว่า ซี่โครงหมาร้องไห้ เพราะที่บ้านเลี้ยงสุนัข คุณย่า บอกว่า บาร์บีคิวของเราเนี่ย อร่อย จนไม่เหลือให้หมากินบ้างเลย เรียกว่า หมาร้องไห้ ก็เห็นว่า ชื่อ ซี่โครงหมาร้องไห้เนี่ย น่าสนใจ เพราะเป็นคำที่เข้าใจง่าย น่าจะดึงดูดลูกค้าได้ดี ตัดสินใจใช้ชื่อนี้
“ที่ผมเลือกขายในรถฟู้ดทรัค มาจาก ความรู้สึกของผมเองว่า อาหารแบบนี้ เหมาะกับการขายบนรถ เพราะในต่างประเทศ ก็ขายกันในฟู้ดทรัค ที่สำคัญสามารถที่จะไปขายตรงไหนก็ได้ และถ้าวันหนึ่ง เกิดขายไม่ได้ขึ้นมา รถที่เรานำมาใช้ก็ยังขายต่อได้ หรือ เอาไปใช้งานได้ แต่ถ้าเป็นร้านต้องลงทุน และพอเลิกกิจการ ก็ต้องรื้อทิ้ง ถ้าอยากขายที่อื่นๆ ก็ต้องไปทำร้านอีก แต่ถ้าเป็นรถแค่เราขับไปจอด ก็ตั้งร้านขายได้เลย และในช่วงที่เราเปิดร้านใหม่ กระแสฟู้ดทรัค ก็ยังมาแรงอยู่ หลายๆ ตลาดก็ต้องการได้ฟู้ดทรัค ไปร่วมออกร้าน”
สำหรับในส่วนของการขยายสาขา หรือ ทำแฟรนไชส์ วีระยุทธ บอกว่า ตนเอง และน้องชาย ยังไม่พร้อม และเราก็ทำกันแค่ 2 คน ถ้าจะขยายสาขา เราก็คงจะแบ่งกันออกไปทำงานหรือ ดูแลก่อน เพื่อจำลองดูสถานการณ์ก่อนว่า ถ้ามีสาขาเพิ่มขึ้น และผลตอบรับออกมาเป็นอย่างไร เพื่อถ้าจะทำแฟรนไชส์ คนที่มาซื้อแฟรนไชส์ก็จะได้ไม่ต้องมาลองผิดลองถูก คือ เราทดลองให้ก่อน ประกอบกับ ตอนนี้เราค่อนข้างพอใจ และมีความสุขกับการทำงาน และรายได้ในระดับนี้
สนใจ โทร.06-4125-7188
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *