xs
xsm
sm
md
lg

“สมคิด” มอบการบ้าน 3 ข้อ พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยให้สำเร็จก่อนเลือกตั้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการเป็นประธานเปิดงาน “Thailand Industry Expo 2017”
“สมคิด” เปิดงาน “Thailand Industry Expo 2017” มอบการบ้านทุกฝ่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ร่วมกันขับเคลื่อน 3 ข้อ ได้แก่ ยกระดับอุตสาหกรรมเกษตร เชื่อมโยงภาคบริการ หนุนเกิดสตาร์ทอัพจำนวนมาก และพัฒนาเอสเอ็มอีไทยให้ทันต่อยุค 4.0 ประกาศต้องทำให้สำเร็จก่อนเลือกตั้ง

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการเป็นประธานเปิดงาน “Thailand Industry Expo 2017” ว่า จากที่ได้เข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว มีภารกิจหลัก 2 ด้าน ประการแรก ต้องการจะประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำลงไปกว่าเดิม ซึ่งเวลานั้นอัตราการเติบโต GDP อยู่ที่ประมาณ 0.8% แต่ปัจจุบันเพิ่มมาเป็น 3.3% การส่งออกกลับมาเติบโต 11% ความเชื่อมั่นเริ่มฟื้น ประกอบกับการลงทุนภาครัฐ จึงเชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้ (2560) จะดีกว่าปีที่ผ่านมา

ภารกิจที่สอง คือ พยายามจะปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพราะเรารู้ดีว่าระบบเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาถ้าไม่มีการปฏิรูปจะไม่สามารถเดินต่อไปได้แล้ว และหากเป็นสถานการณ์การเมืองปกติ การปฏิรูปทำได้ยากมาก ดังนั้น เมื่อเข้ามาจึงได้ประกาศนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งระยะเวลาของรัฐบาลที่เหลืออยู่ประมาณ 1 ปีเศษจำเป็นต้องทำให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมให้จงได้ จึงต้องการขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ราชการ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ฯลฯ มาช่วยกัน 3 ด้าน ประกอบด้วย

ข้อแรก ต้องการให้ยกระดับอุตสาหกรรมเกษตร และเชื่อมโยงภาคบริการ เนื่องจากเมื่อเราดูในรายละเอียดของการส่งออกที่ผ่านมาที่มีมูลค่ากว่า 6.9 แสนล้านบาท แต่กลับมีสัดส่วนจากการส่งออกภาคเกษตรเพียง 9% วนเวียนอยู่กับส่งออกข้าว ยางพารา และน้ำตาล และมีสัดส่วน GDP เพียง 8% ในขณะที่มีจำนวนคนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้จำนวนมาก ดังนั้น แนวทางที่ผ่านมาจึงไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องอย่างแน่นอน

“เราต้องการกระจายรายได้ให้แก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยกระจายไปสู่ภาคเกษตร แต่ตัวเลขการส่งออกสินค้าเกษตรกลับมีเพียงเท่านี้ ส่วนใหญ่ยังไร้การแปรรูปยกระดับ ทำให้คนทำเกษตรไม่สามารถหนีจากความยากจนไปได้ และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ถ้าเราไม่ปฏิรูปเราจะไม่สามารถหนีจากวงจรซ้ำซากแบบนี้ไปได้” รองนายกฯ กล่าว และเผยต่อว่า

ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมการเกษตรด้วยการยกระดับ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับเป็นเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะให้ความสำคัญต่อ Bio Economy นอกจากนั้น ต้องเชื่อมโยงกับ “ภาคบริการ” ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน GDP กว่า 50% ของประเทศ และมีทิศทางจะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งภาคบริการ มีทั้งภาคท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นก่อสร้าง ขนส่ง ฯลฯ

รองนายกฯ กล่าวต่อว่า ภาคบริการจะต้องให้มีอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นฐาน ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีการรวมกลุ่มคลัสเตอร์เอสเอ็มอีภาคบริการมาก่อน โดยเฉพาะด้านเอสเอ็มอีท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กๆ ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของสถาบันการเงินได้ แต่หากผู้ประกอบการเกษตรเหล่านี้สามารถจะดูแลตัวเองได้ ด้วยการดึงเข้ามาเชื่อมกับภาคบริการท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวผนึกชุมชน จะช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ภาคเกษตร

“ในขณะที่เรากำลังจะไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 เราต้องอย่าลืมพาผู้ประกอบการเกษตรไปด้วย ซึ่งผมได้พูดคุยกับว่าที่เลขาฯ บีโอไอคนใหม่ว่า ภารกิจแรกที่ต้องการให้ทำ คือ หามาตรการจูงใจให้เอกชนลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตร” นายสมคิดระบุ

สำหรับข้อที่สองที่จะขอความช่วยเหลือจากทุกฝ่าย คือ สร้างผู้ประกอบการใหม่ กลุ่มสตาร์ทอัพ ซึ่งในอนาคตธุรกิจจะต้องแข่งขันกันด้วยนวัตกรรม และขับเคลื่อนด้วยผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ ไม่ใช่อย่างในปัจจุบันที่การส่งออกของไทยแทบทั้งหมดขับเคลื่อนด้วยบริษัทเพียงแค่ประมาณ 70 แห่ง โดย 50 แห่งมีหัวเรือใหญ่เป็นต่างชาติ

ฉะนั้นเราต้องปรับแนวทางใหม่ให้เกิดการสร้างผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ ซึ่งช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเกิดการตื่นตัวเรื่องสตาร์ทอัพแล้ว แต่ผลงานเชิงรูปธรรมต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ อีกทั้งที่ผ่านมามีสตาร์ทอัพเพียง 10-15% เท่านั้นที่เข้าถึงแหล่งทุนได้ สาเหตุเพราะสถาบันการเงินต่างๆ ไม่กล้าจะอนุมัติ เกรงจะกลายเป็นหนี้เสีย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาองค์กรใหญ่ๆ กลับมีบทบาทในการให้โอกาสแก่สตาร์ทอัพผ่านการร่วมทุน เพราะบริษัทใหญ่ต้องการไอเดียทันสมัย แปลกใหม่ เพื่อจะใช้เป็นแนวทางทำธุรกิจในอนาคตต่อไป ดังนั้น จึงอยากจะเห็นการสนับสนุนสร้างคลัสเตอร์เพื่อก่อให้เกิดผู้ประกอบการใหม่จำนวนมากๆ

และข้อที่สาม ต้องการให้พัฒนาเอสเอ็มอีไทยให้ทันต่อยุค 4.0 ซึ่งอนาคตจะเข้าสู่ยุคดิจิตอล แต่เอสเอ็มอีไทยจำนวนมากยังปรับตัวไม่ทัน ในขณะที่บริษัทไทยรายใหญ่กลับทำได้ดีมาก ดังนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ช่วยกันในการพัฒนาเอสเอ็มอีไทยไปพร้อมกัน

“ผมมาเปิดงานในวันนี้เพื่อจะขอร้องทุกท่านให้ทำใน 3 ข้อดังกล่าว เพราะเราต้องการจะปฏิรูปปักหมุดเศรษฐกิจไทยใหม่ให้ได้ก่อนจะเกิดการเลือกตั้ง เพราะเรารู้ดีว่าถ้ากลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว การผลักดันใดๆ ก็ตามเป็นเรื่องยากมาก” รองนายกฯ กล่าว
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รายงานการจัดงาน “Thailand Industry Expo 2017”
ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำหรับการจัดงาน “Thailand Industry Expo 2017” ระหว่างวันที่ 25-30 กรกฎาคมนี้ ณ ชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี เพื่อต้องการแสดงศักยภาพเทคโนโลยี นวัตกรรม สินค้าและบริการที่ทันสมัยอย่างครบวงจร รวมถึงแสดงผลงานของเอสเอ็มอีไทย และวิสาหกิจชุมชน โอทอปต่างๆ กว่า 1,500 ราย นอกจากนั้น ยังมีกิจกรรมบริการจากหน่วยงานภาครัฐเพื่อบริการแก่ผู้ประกอบการไทย รวมถึงการจัดสัมมนาความรู้ และบริการทางการเงิน โดยคาดว่าตลอด 6 วันของการจัดงานจะมีประชาชนเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 3 แสนคน และเกิดการใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้วางกลยุทธ์การทำงานสำคัญไว้ 3 เรื่อง ได้แก่ 1) การยกระดับพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรม เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจและยกระดับความสามารถของเศรษฐกิจของประเทศไทย 2) การพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือ SMEs ให้สามารถพัฒนาตนเองสู่การเป็น SMEs ที่ใช้นวัตกรรมในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเป้าหมายในลักษณะกลุ่มหรือ Cluster ที่มีบริษัทใหญ่เป็นคู่ค้าสำคัญ 3) การพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เพื่อรองรับการกระตุ้นการลงทุนขนาดใหญ่รอบใหม่ของประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นต่อการขับเคลื่อนและดำเนินยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม 4.0 ที่จะสนับสนุนนโยบาย Thailand 4.0 ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ร่วมเปิดงาน “Thailand Industry Expo 2017”
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น