xs
xsm
sm
md
lg

2 กีรตยาจารย์ มธ. วิจัยนโยบายเศรษฐกิจ-การแพทย์ระดับโลก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“กีรตยาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” นับรางวัลอันทรงคุณค่าที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้มอบให้ในทุกปี เพื่อเชิดชูเกียรติแห่งความเป็นครูผู้มีคุณธรรม ความรู้ความสามารถ เสียสละและยอมอุทิศตนให้แก่การสอน ควบคู่กับงานวิจัยและบริการทางวิชาการตอบแทนสังคม นับเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ทุกภาคส่วน

งาน “วันสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครบรอบปีที่ 85” เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2562 ได้มีการมอบรางวัล กีรตยาจารย์เพื่อเป็นเกียรติให้แก่อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 ท่าน ประกอบด้วย กีรตยาจารย์ สาขาสังคมศาสตร์ ได้แก่ ศ.ดร.อารยะ ปรีเมตตา จากคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. และกีรตยาจารย์ สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ ศ.ดร.นพ.ประกิตพันธุ์ ทมทิตชงค์ คณะแพทยศาสตร์ มธ.

ศ.ดร.อารยะ กล่าวในหัวข้อ “ดุลยภาพที่เหลื่อมล้ำ” สะท้อนให้เห็นทิศทางของประเทศไทยในอนาคต ที่มุ่งสู่ “ดุลยภาพที่ไม่มีเสถียรภาพ” โดยนำบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบันมาเป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้กำหนดนโยบายระวัง ไม่เช่นนั้นปัญหาความเหลื่อมล้ำมีแต่ขยายวงกว้างมากขึ้น

“โลกแห่งเทคโนโลยีกำลังส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงประเทศ เกิดเป็นดุลยภาพใหม่ขึ้นมา แต่ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำก็จะตามมาเช่นเดียวกัน แล้วประเทศไทยจะไปทางไหน จะสร้างความสมดุลระหว่างความก้าวหน้าของเทคโนโลยีกับความเหลื่อมล้ำนี้อย่างไร”

ศ.ดร.อารยะ มองว่า เรามีอุปสรรคในการแก้ปัญหาทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน อาทิ การปฏิวัติเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยผู้ควบคุมเทคโนโลยีมีอำนาจทางการตลาดสูงมาก ต้นทุนก็จะถูกลง จึงไม่แปลกที่สหรัฐฯประกาศสงครามการค้ากับหัวเหว่ย เพราะผู้ได้ประโยชน์จากการค้าเสรีก็คือจีน สงครามที่ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ควบคู่กับปัญหาราคาสินค้าเกษตรโลกตกต่ำ และการย้ายฐานการลงทุนไปยังคู่แข่งสำคัญคือเวียดนาม

นอกจากนั้น ประเทศไทยยังมีปัญหา ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างเดิมในหลากหลายมิติ อาทิ เรื่องค่าจ้างแรงงาน ความยุติธรรม คมนาคม สาธารณสุข เพศสภาพ ถึงเวลาสังคมต้องจัดลำดับความสำคัญและหาทางออกเพื่อไม่ให้มีคนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

“นโยบายรัฐบาลที่ประกาศจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเป็นเรื่องดี แต่ก็ยากที่จะบรรลุผล ความเป็นไปได้คือทิ้งไว้ให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้ความเหลื่อมล้ำในระบบลดลง”

ข้อเสนอ “การปฏิรูปภาษี” ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่รัฐบาลควรทำให้ผู้มีฐานะได้เปรียบทางสังคมหรือบริษัทเอกชน ซึ่งได้ประโยชน์จากทรัพยากรรัฐ เห็นความจำเป็นของการนำกำไรมากระจายความก้าวหน้าอย่างเป็นธรรมและเหมาะสม ให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เมื่อรัฐเก็บภาษีได้แล้วนำมาอุดหนุนช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจที่ไม่แข็งแรง ไม่ใช่มุ่งจะทำให้ฝ่ายหนึ่งต้องสูญเสีย (Zero-sum Game) เสมอไป

“กรณีประเทศไทย ทุนใหญ่ได้เปรียบแค่ไหนสุดท้ายก็สู้ทุนต่างชาติที่คุมเทคโนโลยีไม่ได้ ดังนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่งทุกคนจะเห็นร่วมกันว่า เราควรเสียภาษีมากขึ้นเหมือนช่วยกันดึงเส้นเชือกเพื่อให้ระบบนี้อยู่ได้”

ด้าน ศ.ดร.นพ.ประกิตพันธุ์ ปาฐกถาในหัวข้อ “การผสมผสานงานสอนเข้ากับงานวิจัยเพื่อใช้เปลี่ยนแปลงโลก” โดยให้ความสำคัญกับความรู้ที่ได้จากการทดลองวิจัย สร้างความก้าวหน้าทางการแพทย์ แม้ผลศึกษาที่ได้จะแตกต่างจากความเชื่อเดิมๆ แต่ก็ต้องอาศัยหลักการทำให้สังคมยอมรับและก่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ

“งานวิจัยต้องพัฒนาให้เกิด ผลกระทบในเชิงบวกและขยายวงกว้าง เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวทางการรักษา ที่สำคัญคือต้องทำร่วมกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องอายุอย่างเดียว อาจเป็นคนรุ่นเดียวกันแต่มีความคิดทันสมัย จะทำให้งานวิจัยเกิดความยั่งยืน”

ศ.ดร.นพ.ประกิตพันธุ์ เล่าว่า ส่วนตัวแล้ว งานวิจัยเป็นยิ่งกว่าชีวิต ผู้ร่วมงานเปรียบเสมือนครอบครัว ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการศึกษาเกี่ยวกับ ปัญหาเชื้อแบคทีเรีย ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารด้วย แต่ก็มีวิธีป้องกันดูแลและรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมวิจัยค้นพบคำตอบ “นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์ทั่วโลก”

ประสบการณ์และความสำเร็จที่ได้ สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการสร้างเครือข่ายการวิจัย จากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ เกิด “คอนเน็คชั่น” ที่ดี และส่งต่อความรู้กันทั้งในและต่างประเทศ

ปัจจุบัน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฯ มีคนไข้ปีละกว่า 1 ล้านคน และมีแพทย์ผ่าตัดที่เป็นคนรุ่นใหม่อีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาการทำงานร่วมกันเป็นทีม การเก็บข้อมูลคนไข้ การวิจัยติดตามผล การทดลองใหม่ๆ การแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในต่างแดน และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มุมมองที่กลั่นกรองจากประสบการณ์ของ 2 กีรตยาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คือต้นแบบ…เป็นเบ้าหลอมให้คนรุ่นใหม่และสังคมไทยได้จุดประกายความคิดดีๆ และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยองค์ความรู้อย่างแท้จริง


กำลังโหลดความคิดเห็น