“หมอธีระวัฒน์” ห่วง อภ.ผลิตน้ำมันกัญชา อาจมีราคาแพง เตรียมแจ้งครอบครอง “กัญชา” ทั้งฐานะผู้ป่วยและผู้จ่าย ด้าน ม.รังสิต แจงไม่ต้องขอนิรโทษ เหตุขอวิจัยถูกกฎหมาย แต่หากวิจัยเพิ่มหรือทำผลิตภัณฑ์กัญชาเพิ่มต้องขออนุญาตใหม่ ร่วมกับรัฐ
วันนี้ (28 ก.พ.) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกัญชาทางการแพทย์ ว่า เป็นเรื่องดีที่มีการเปิดโครงการผลิตสารสกัดกัญชาขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) ที่มุ่งไปที่ยกระดับสู่เมดิคัลเกรด มาตรฐานทางการแพทย์ระดับสากล แต่ที่อยากย้ำ คือ กัญชาที่ไทยจะใช้ทางการแพทย์ หากทราบว่า ไม่มียาฆ่าแมลง ไม่มีโลหะหนักจริงๆ ก็ใช้ได้แล้ว เนื่องจากในต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาก็ทำแบบนี้ ที่กังวลคือ การเปิดตัวของ อภ.ผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชาที่จะออกมาให้ผู้ป่วยนั้น สุดท้ายจะมีราคาแพงหรือไม่ เพราะเห็นจากต้นทุนการพัฒนาใช้งบ 10 ล้านบาท จึงอดกังวลไม่ได้ แต่หากตัดข้อกังวลนี้ไปก็ถือว่าดี
“การแจ้งขึ้นทะเบียนครอบครองกัญชาตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข 3 ฉบับ เรื่องนิรโทษผู้ครอบครองกัญชา ผมกำลังศึกษาข้อมูลการขึ้นทะเบียนครอบครองอยู่ โดยผมจะแจ้งครอบครองในฐานะทั้งผู้ใช้และผู้จ่าย เพราะผมมีภาวะที่ไม่อยากทานยา เนื่องจากผมปวดหลัง ปวดข้ออยู่ ก็สามารถใช้ได้ และผมก็จะขึ้นทะเบียนครอบครองในฐานะผู้จ่าย เพราะมองว่ากัญชารักษาโรคได้ ทั้งอาการแข็งเกร็ง ปวดทรมาน โรคลมชัก เป็นต้น ซึ่งในวันที่ 1 มี.ค. จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาผลิตภัณฑ์ยาเสพติดให้โทษที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบ เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย เวลา 13.30 น. ผมก็จะแวะไปที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อสอบถามรายละเอียดการขึ้นทะเบียน หากพร้อมก็จะแจ้งขึ้นทะเบียนเลย” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า นอกจากนี้ จะขอทวงถามทาง อย.ด้วย จากกรณีการหารือร่วมกันของสภาเกษตรกรแห่งชาติ กับทาง อย. เรื่องที่เคยถามว่า ปัจจุบันการจะมาขออนุญาตปลูกนั้นต้องมาในรูปวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเกษตรกรต้องรวมตัวกัน 7 คนขึ้นเป็นวิสาหกิจชุมชนนั้นค่อนข้างลำบาก สภาเกษตรกรแห่งชาติเคยหารือกับ เลขาธิการ อย. ว่า คนที่ปลูกกัญชาเพื่อรักษาโรคสามารถมาขึ้นทะเบียนกับสภาเกษตรกรแห่งชาติได้หรือไม่ และค่อยให้สภาเกษตรฯ ไปขึ้นทะเบียนแทน
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การวิจัยกัญชาของ ม.รังสิต ในล็อตแรกไม่จำเป็นต้องมาแจ้งการครอบครองเพื่อขอนิรโทษ เพราะมีการขออนุญาตครอบครองกัญชาจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และเป็นของกลางยาเสพติดให้โทษ ซึ่งเป็นการขออนุญาตที่ถูกต้อง และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่มีการขอการวิจัยกัญชาอย่างถูกตามกฎหมาย ดังนั้น จึงไม่เข้าข่ายที่จะต้องมีการขอวิจัย แต่อนาคตหากยังมีการวิจัยเพิ่มเติม หรือมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกัญชา ก็จะต้องมีขออนุญาตเพิ่ม ซึ่งต้องร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนี้ แผนความร่วมมือเกี่ยวกับกัญชา ทั้งการพัฒนาสายพันธุ์ที่จะทำร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ ในขณะนี้อยู่ระหว่างการทำร่างข้อตกลงร่วมกัน ว่า จะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน โดยคาดว่าจะเสร็จทันในรัฐบาลชุดนี้แน่นอน